top of page

Quantum Real Estate: เมื่ออสังหาริมทรัพย์ก้าวเข้าสู่ยุคควอนตัม

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

17 October 2025


ree

บทนำ: โลกหลังยุค AI — จุดเริ่มต้นของคลื่นเทคโนโลยีใหม่


ไม่กี่ปีที่ผ่านมา “AI” คือคลื่นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโฉมหน้าของทุกอุตสาหกรรม ตั้งแต่การเงิน โลจิสติกส์ ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ แต่ในขณะที่หลายองค์กรเพิ่งเริ่มตั้งหลักรับมือกับคลื่น AI โลกกำลังเคลื่อนไปสู่ “คลื่นลูกใหม่” ที่ทรงพลังยิ่งกว่า — Quantum Computing


เทคโนโลยีนี้อาจจะยังอยู่ในห้องแล็บของมหาวิทยาลัยหรือศูนย์วิจัยระดับโลก แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มันจะเริ่มหลอมรวมเข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล และหนึ่งในภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ “อสังหาริมทรัพย์เพื่อเทคโนโลยี” — Quantum Real Estate


Quantum Computing คืออะไร และทำไมถึงสำคัญกับอสังหาริมทรัพย์


ในโลกของคอมพิวเตอร์ทั่วไป (Classical Computing) เราทำงานด้วย “บิต” ที่มีค่าได้แค่ 0 หรือ 1แต่ในโลกของ Quantum Computing เราใช้ “คิวบิต” (qubit) ที่สามารถอยู่ในสถานะ 0 และ 1 พร้อมกันได้ (เรียกว่า superposition) และเมื่อคิวบิตหลายตัวเชื่อมโยงกัน (เกิด entanglement) การประมวลผลจะเกิดขึ้นพร้อมกันในหลายมิติ — เป็นการคำนวณแบบ “ขนาน” ที่ทรงพลังมหาศาล


ปัญหาที่เคยใช้เวลาหลายล้านปีในการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ทั่วไป อาจถูกแก้ได้ในไม่กี่วินาทีด้วย Quantum Computer และเมื่อเทคโนโลยีนี้เข้าสู่ “ระดับใช้งานจริง” (Quantum Advantage) มันจะพลิกโฉมทั้งระบบเศรษฐกิจ การเงิน พลังงาน โลจิสติกส์ ไปจนถึง “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” ที่รองรับมัน — ซึ่งรวมถึง อสังหาริมทรัพย์


เมื่ออสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เป็นเพียง “พื้นที่ใช้สอย” แต่คือ “โครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยี”


ในอดีต อาคารสำนักงานคือพื้นที่ทำงาน ต่อมา Data Center กลายเป็น “ศูนย์ประมวลผล” ของเศรษฐกิจยุคดิจิทัลและในอนาคต Quantum Facility จะเป็น “สมองแห่งยุคควอนตัม” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต


สิ่งนี้หมายความว่า อสังหาริมทรัพย์กำลังเปลี่ยนบทบาทจาก “สินทรัพย์กายภาพ” (Physical Asset) เป็น “สินทรัพย์เทคโนโลยี” (Tech-Enabled Asset) ที่ต้องรองรับระบบประมวลผล ความปลอดภัย และพลังงานระดับใหม่ทั้งหมด


ลักษณะของ Quantum Facility: สถาปัตยกรรมแห่งความแม่นยำ


Quantum Computing มีความต้องการทางกายภาพที่แตกต่างจาก Data Center ทั่วไปอย่างมากเพราะคอมพิวเตอร์ควอนตัมต้องทำงานในสภาวะที่ “ไม่มีสิ่งใดรบกวนได้เลย”ซึ่งนำไปสู่การออกแบบอาคารที่ละเอียดระดับ “อะตอม”:


  1. อุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์สัมบูรณ์ (Cryogenic Environment)– เครื่อง Quantum ต้องรักษาอุณหภูมิใกล้ -273°C เพื่อให้คิวบิตทำงานได้เสถียร– ระบบทำความเย็นจึงเป็น “หัวใจ” ของอาคาร ต้องมีเสถียรภาพสูงและแยกโซนชัดเจน

  2. การป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Shielding)– สัญญาณรบกวนเพียงเล็กน้อยอาจทำให้การคำนวณผิดพลาด– ต้องมีผนังที่ป้องกันสัญญาณ EMF และระบบไฟฟ้าที่ไม่สร้าง noise

  3. ระบบพลังงานสำรองที่นิ่งสนิท (Ultra-Stable Power Supply)– Quantum Computer ไม่ทนต่อแรงดันไฟฟ้าที่ไม่นิ่ง– จำเป็นต้องมีระบบ UPS และ Microgrid ที่ออกแบบเฉพาะ

  4. Hybrid Architecture– อาคารจะมีส่วนที่รองรับ Quantum Hardware และส่วนที่เป็น Classical Computing ทำงานร่วมกัน– เรียกว่า “Hybrid Quantum-Classical Data Center”


สิ่งเหล่านี้ทำให้อสังหาริมทรัพย์รูปแบบนี้เป็นมากกว่าการก่อสร้าง — มันคือ “การออกแบบโครงสร้างของอนาคต”


โมเดลธุรกิจใหม่: Quantum-as-a-Service (QaaS)


คล้ายกับยุคที่ Cloud Computing เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจขององค์กร Quantum ก็จะเริ่มจากการให้บริการในรูปแบบ QaaS — ผู้ใช้ไม่ต้องมีเครื่องควอนตัมเอง แต่สามารถเข้าถึงผ่านคลาวด์ได้


โมเดลนี้จะสร้าง “ความต้องการพื้นที่” ในศูนย์ข้อมูลที่รองรับ Quantum มากขึ้นและเปิดโอกาสให้นักลงทุนอสังหาฯ เข้าสู่ตลาด “Quantum Data Infrastructure” ได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นเช่นเดียวกับที่บริษัทเทคโนโลยีอย่าง AWS หรือ Google สร้างอาณาจักรคลาวด์ได้จากการเป็น “ผู้ให้บริการพื้นที่สมองของโลก”


เมืองควอนตัม: Quantum Hub Ecosystem


การเกิดขึ้นของ Quantum Economy จะไม่ได้กระจายทั่วโลกในทันทีแต่มันจะเกิดขึ้นใน “ฮับ” ที่มีองค์ประกอบพร้อม ได้แก่

  • มหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยด้านควอนตัม

  • ภาครัฐที่สนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม

  • ภาคเอกชนที่มีเงินทุนและตลาด

  • ระบบไฟฟ้าและดิจิทัลที่มีเสถียรภาพสูง


เมืองอย่าง Boston, Toronto, Zurich, Singapore และ Tokyo ถูกคาดหมายว่าจะเป็นฮับแรก ๆ ของ Quantumเพราะมีทั้ง Talent, Research Base และ Tech Infrastructure พร้อม


ในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมืองอย่าง สิงค์โปร์ และ กรุงเทพ มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็น “Quantum Gateway” ได้หากสามารถเชื่อมต่อระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ได้อย่างเป็นระบบ


โอกาสของนักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์


  1. ลงทุนในที่ดินสำหรับ Quantum-Ready Infrastructure พื้นที่ใกล้สถาบันวิจัย เทคพาร์ค หรือศูนย์นวัตกรรมจะกลายเป็น “ทำเลทอง” สำหรับ Quantum Facility นักลงทุนที่วางแผนล่วงหน้า 5–10 ปี จะสามารถครองพื้นที่หายากได้ก่อนที่ราคาจะพุ่ง

  2. ออกแบบอาคารแบบ Modular และ Hybrid อาคารที่สามารถแยกโซน Quantum / Classical ได้ จะตอบโจทย์ในอนาคตเช่น Data Center ที่มีส่วนหนึ่งรองรับ Quantum Cooling System

  3. สร้างพันธมิตรกับภาคเทคโนโลยีและมหาวิทยาลัย ความร่วมมือข้ามอุตสาหกรรม (Real Estate + Quantum Tech + Energy + Education) จะเป็นหัวใจของการพัฒนา “Quantum Hub” ที่ยั่งยืน

  4. พัฒนาโครงสร้างพลังงานสะอาดและเสถียร Quantum Facility ต้องใช้พลังงานมหาศาลและนิ่งมาก การลงทุนในระบบพลังงานหมุนเวียน + Battery Storage + Microgrid จะเป็นจุดได้เปรียบสำคัญ


Quantum Era กับความยั่งยืน: โอกาสในการลดคาร์บอนเชิงระบบ


แม้ Quantum Facility จะใช้พลังงานสูง แต่ในภาพรวม มันอาจเป็น “เครื่องมือช่วยลดคาร์บอน” ในระบบเศรษฐกิจโลกเพราะ Quantum Computing จะช่วยให้สามารถคำนวณและจำลองกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ซับซ้อนได้เร็วขึ้น เช่น

  • การค้นหาวัสดุใหม่สำหรับแบตเตอรี่ที่ยั่งยืน

  • การจำลองโมเลกุลเพื่อผลิตยารักษาโรคโดยไม่ต้องทดลองซ้ำมาก

  • การเพิ่มประสิทธิภาพระบบพลังงานและโลจิสติกส์ทั้งประเทศ


ดังนั้น แม้อาคาร Quantum จะเป็น “ผู้ใช้พลังงาน”แต่ในภาพใหญ่ มันจะกลายเป็น “ผู้ช่วยลดคาร์บอนของโลก”


ความท้าทาย: จากเทคโนโลยีสู่ระบบนิเวศ


ในระยะสั้น Quantum Real Estate ยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน เช่น

  • เทคโนโลยียังไม่เสถียร

  • ต้นทุนสูงมาก

  • ขาดบุคลากรเฉพาะทาง

  • ยังไม่มีมาตรฐานอาคาร Quantum ที่ชัดเจน


แต่ถ้ามองย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีก่อน Cloud Data Center ก็เคยถูกมองว่า “ไกลตัวและแพงเกินไป” เช่นกันจนกระทั่งมันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในปัจจุบัน


Quantum ก็จะเดินเส้นทางเดียวกัน — แค่ในสเกลที่ใหญ่กว่า ลึกกว่า และเร็วกว่า


กลยุทธ์เชิงรุกสำหรับผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์


  1. เริ่มจากการเรียนรู้และเชื่อมโยง เข้าร่วมเครือข่ายหรือสัมมนาเกี่ยวกับ Quantum Tech เพื่อเข้าใจแนวโน้มตั้งแต่ต้นน้ำเพราะในโลกของเทคโนโลยี “การรู้ก่อน” คือ “โอกาสก่อน”

  2. พัฒนา Quantum-Ready Master Plan ออกแบบอาคารที่สามารถปรับโครงสร้างได้ในอนาคต เช่น

    • พื้นที่ที่รองรับระบบ Cryogenic

    • ช่องทางเดินสายพลังงานที่มีความนิ่งสูง

    • ระบบ BMS ที่สามารถอัปเกรดต่อยอดกับ Quantum System ได้

  3. สร้างแบรนด์ในฐานะผู้บุกเบิกเทคโนโลยีอสังหาฯ อสังหาฯ ที่แสดงให้เห็นความพร้อมด้านเทคโนโลยีล้ำสมัย จะดึงดูดทั้งผู้เช่า นักลงทุน และภาครัฐการเป็น “Tech-Enabled Developer” จะสร้างคุณค่าเพิ่มมากกว่า “Traditional Developer” หลายเท่า

  4. เตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบและความปลอดภัยข้อมูล Quantum จะมาพร้อมกับยุคใหม่ของ Cybersecurity (เช่น Quantum Encryption)อาคารที่ออกแบบให้สอดคล้องกับมาตรฐานข้อมูลขั้นสูงจะได้เปรียบเชิงนโยบาย


Quantum Real Estate ไม่ใช่เรื่องของอนาคตไกล แต่คืออนาคตอันใกล้


นักวิเคราะห์คาดว่า Quantum Computing ที่พร้อมใช้งานเชิงพาณิชย์อาจมาถึงภายใน 10 ปีและเมื่อถึงเวลานั้น ความต้องการพื้นที่ที่รองรับระบบควอนตัมจะระเบิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากช่วงที่โลกตื่นตัวกับ AI และ Cloud Data Center ในทศวรรษที่ผ่านมา


อสังหาริมทรัพย์ที่เริ่ม “วางฐานตั้งแต่วันนี้” —เช่น ออกแบบระบบไฟฟ้าที่รองรับ Microgrid,พัฒนา Cooling Infrastructure ที่ยืดหยุ่น,และสร้างเครือข่ายกับภาควิจัย —จะเป็นผู้ครองตลาดยุคควอนตัมในอนาคต


สรุป: จาก Real Estate สู่ Quantum Estate


Quantum Computing คือเทคโนโลยีที่ท้าทายทุกสมมติฐานของโลกดิจิทัลและ Quantum Real Estate จะเป็นเวทีใหม่ของการแข่งขัน —ไม่ใช่แค่ระหว่างนักพัฒนาอสังหาฯ แต่ระหว่างเมือง ประเทศ และระบบเศรษฐกิจทั้งโลก


ผู้ที่เริ่มเตรียมตัวก่อน จะไม่เพียงสร้างอาคาร แต่จะสร้าง “โครงสร้างพื้นฐานแห่งอนาคต” และเมื่อคลื่นควอนตัมมาถึงจริง ผู้ที่พร้อมที่สุด จะไม่ใช่คนที่ถามว่า “จะเริ่มเมื่อไหร่” แต่คือคนที่ตอบได้ว่า “เราเริ่มไปแล้ว”

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page