top of page

บทบาทของที่ปรึกษาออกแบบ MEP ในการขับเคลื่อนอาคารแบบ No-Man Operation

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

Advisory Committee, Air-Conditioning Engineering Association of Thailand

Member ASHRAE, Board of Governors - ASHRAE Thailand Chapter

17 December 2025


ree

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา งานวิศวกรรมระบบประกอบอาคารตั้งอยู่บนสมมติฐานหนึ่งที่แทบไม่มีใครตั้งคำถาม


นั่นคือ จะต้องมีคนประจำอยู่ที่อาคารเสมอ


มี Operator คอยเฝ้าระบบ

มีช่างคอยปรับตั้งค่า

มีวิศวกรคอยตีความความผิดปกติ และตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรต่อไป


แต่สมมติฐานนั้นกำลังพังลง


ต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นการขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะความซับซ้อนของระบบอาคารแรงกดดันด้าน ESG และความคาดหวังเรื่องความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน


ทั้งหมดกำลังหลอมรวมเป็นคำถามเดียวที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า


ถ้าอาคารต้องดำเนินงานได้โดย “ไม่มีคนประจำอยู่หน้างาน” เป็นส่วนใหญ่ จะทำอย่างไร?


นี่คือรากฐานของแนวคิด No-Man Operation และมันกำลังเปลี่ยนบทบาทของที่ปรึกษาออกแบบ MEP อย่างสิ้นเชิง


No-Man Operation ไม่ได้แปลว่า “ไม่มีมนุษย์”


แต่คือการย้ายมนุษย์ออกจากอาคาร—โดยการออกแบบ


สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องทำความเข้าใจคือ


No-Man Operation ไม่ได้หมายถึงการตัดมนุษย์ออกจากการบริหารอาคาร แต่หมายถึง การยกเลิกความจำเป็นที่มนุษย์ต้องอยู่ประจำในอาคารแต่ละแห่ง


ในโมเดลนี้

  • มนุษย์ยังจำเป็น

  • ความเชี่ยวชาญยังสำคัญ

  • การตัดสินใจเชิงวิจารณญาณยังขาดไม่ได้


แต่ทั้งหมดถูกส่งมอบผ่าน ศูนย์ควบคุมกลาง (Centralized Control Center / Operations Hub) ซึ่งสามารถดูแลอาคารหลายแห่งพร้อมกันได้


อาคารจะรับหน้าที่

  • การตัดสินใจเชิงกิจวัตร

  • การปรับประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์

  • การตอบสนองขั้นต้นต่อความผิดปกติ


มนุษย์จะเข้ามาเมื่อ

  • ต้องใช้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์

  • ความผิดปกติเกินขอบเขตที่ระบบอัตโนมัติตัดสินใจได้

  • หรือเมื่อจำเป็นต้องมีการเข้าไปปฏิบัติงานจริงตามแผน


การเปลี่ยนจากการมีคนประจำอาคาร → สู่การกำกับดูแลจากศูนย์กลางคือหัวใจที่ทำให้ No-Man Operation คุ้มค่าและทำได้จริง


ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่ “แรงงาน”


แต่คือการพึ่งพามนุษย์แบบกระจายตัว


อาคารแบบดั้งเดิมฝังการพึ่งพามนุษย์ไว้ทุกที่

  • การ Override ด้วยมือ

  • การ Reset ที่ต้องทำหน้างาน

  • ความรู้เฉพาะตัวที่ไม่เคยถูกบันทึก (Tribal Knowledge)

  • วิธีแก้ปัญหาเฉพาะคน


เมื่อแต่ละอาคารต้องมีทีมของตัวเองการขยายพอร์ตโฟลิโอจึงมีต้นทุนสูง ไม่สม่ำเสมอ และเปราะบาง


No-Man Operation เข้ามาแทนที่ การพึ่งพามนุษย์แบบกระจัดกระจาย ด้วย

  • ความเชี่ยวชาญแบบรวมศูนย์

  • ตรรกะการตัดสินใจที่เป็นมาตรฐาน

  • อาคารที่ “อธิบายตัวเองได้” ผ่านข้อมูล


และการเปลี่ยนแปลงนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ MEP


การเปลี่ยนบทบาทเชิงกลยุทธ์


จากการออกแบบอุปกรณ์ → สู่การออกแบบการตัดสินใจ


โดยปกติ ที่ปรึกษา MEP จะออกแบบ

  • ขนาดและความสามารถของระบบ

  • การมีระบบซ้อน (Redundancy)

  • การปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐาน

  • Sequence ที่สมมติว่ามีคนคอยดูแลอยู่เสมอ


แต่ในโมเดล No-Man Operationที่ปรึกษาจำเป็นต้องออกแบบ

  • ตรรกะการตัดสินใจอัตโนมัติ

  • กติกาการ Escalate ไปหามนุษย์

  • ขอบเขตอำนาจระหว่างระบบกับมนุษย์ที่ชัดเจน


หน้าที่ไม่ใช่การตัดคนออกแต่คือการทำให้มนุษย์เข้ามา เฉพาะจุดที่สร้างคุณค่าจริง


เซ็นเซอร์ คือ “ดวงตา” ของศูนย์ควบคุมกลาง


ในอดีต คนหน้างานคือบริบทของระบบ

  • ได้ยินเสียงผิดปกติ

  • สังเกตการเสื่อมช้า ๆ

  • รับรู้รูปแบบที่ผิดแปลก


เมื่อคนย้ายออกจากอาคารบริบทเหล่านี้ต้องถูกส่งไปพร้อมกับข้อมูล


ที่ปรึกษา MEP จึงต้องออกแบบระบบตรวจวัดไม่ใช่แค่เพื่อ Alarm แต่เพื่อ ความเข้าใจสถานการณ์จากระยะไกล

  • ข้อมูล Plant แบบละเอียด

  • คุณภาพอากาศระดับโซน

  • สุขภาพของอุปกรณ์

  • แนวโน้มประสิทธิภาพพลังงาน


ศูนย์ควบคุมกลางจะทำงานได้ก็ต่อเมื่ออาคารสามารถ “เล่าเรื่องของตัวเอง” ได้อย่างชัดเจน


การออกแบบเซ็นเซอร์ที่ไม่ดีจะนำไปสู่ Alarm ลวง ความไม่แน่ใจ และการส่งคนเข้าไซต์โดยไม่จำเป็น


ออกแบบให้ระบบ “ตอบสนองก่อน”


แล้วให้มนุษย์เป็น “ผู้ตัดสินใจขั้นถัดไป”


No-Man Operation ไม่ได้หมายความว่าระบบจะทำงานเองตลอดไปโดยไม่มีมนุษย์


แต่หมายความว่าระบบถูกออกแบบให้

  1. ตรวจจับความผิดปกติได้เร็ว

  2. ดำเนินการแก้ไขตามตรรกะที่กำหนด

  3. ทำให้ระบบกลับสู่สภาวะเสถียร

  4. แจ้งมนุษย์พร้อมบริบท ไม่ใช่แค่ Alarm ดิบ ๆ


บทบาทของที่ปรึกษา MEP คือการกำหนด

  • รูปแบบความผิดปกติ

  • ตรรกะการแยกระบบ

  • ขอบเขตการทำงานที่ปลอดภัย

  • ระดับที่ต้อง Escalate


มนุษย์ในศูนย์ควบคุมกลางจึงกลายเป็น ผู้ตัดสินใจ ไม่ใช่ผู้รับสัญญาณเตือน


การเลือกอุปกรณ์ = กลยุทธ์ด้านกำลังคน


การควบคุมแบบรวมศูนย์จะได้ผลก็ต่อเมื่ออุปกรณ์มีพฤติกรรมที่คาดเดาได้ เสถียร และโปร่งใส


ที่ปรึกษา MEP สนับสนุนสิ่งนี้โดย

  • เลือกอุปกรณ์ที่มี Performance สม่ำเสมอ

  • หลีกเลี่ยงระบบที่ต้องจูนหน้างานบ่อย

  • ให้ความสำคัญกับ Intelligence จากโรงงาน มากกว่าการแก้หน้างาน


อุปกรณ์ใดก็ตามที่ต้องมีคน “เฝ้า” คือศัตรูของ No-Man Operation


การบำรุงรักษายังจำเป็น


แต่จะเป็นแบบ “วางแผนได้” ไม่ใช่ “วิ่งแก้”


ในโมเดล No-Man การบำรุงรักษาไม่ได้หายไปแต่มันกลายเป็น การบำรุงรักษาเชิงตั้งใจ


ที่ปรึกษา MEP ต้องออกแบบระบบที่

  • ประเมินสภาพตัวเองได้ต่อเนื่อง

  • คาดการณ์แนวโน้มการเสื่อม

  • แจ้งงานซ่อมบนหลักฐาน ไม่ใช่เวลา


ช่างจะถูกส่งเข้าไซต์

  • พร้อมอะไหล่ที่ถูกต้อง

  • ในเวลาที่เหมาะสม

  • ด้วยขอบเขตงานที่ชัดเจน


แรงงานจึงเปลี่ยนจาก “ต้องอยู่ประจำ”เป็น ภารกิจเฉพาะจุด


Control Philosophy คือกติกาการทำงานร่วมกันของคนและระบบ


ความสำเร็จของ No-Man Operationขึ้นอยู่กับความชัดเจนว่า

  • ระบบทำอะไรได้อัตโนมัติ

  • มนุษย์ต้องอนุมัติเมื่อใด

  • การถ่ายโอนอำนาจควบคุมเกิดขึ้นอย่างไร


ที่ปรึกษา MEP ต้องบันทึกสิ่งนี้อย่างชัดเจนใน Control Philosophy และประสานกับ

  • BMS Integrator

  • ทีม IT/OT

  • ฝ่ายปฏิบัติการ


เอกสารนี้คือกติกาความร่วมมือไม่ใช่การแย่งบทบาท


ศูนย์ควบคุมกลางจะดีแค่ไหน


ขึ้นอยู่กับการออกแบบตั้งแต่ต้น


หลายองค์กรลงทุนทำ Command Center และ Dashboardแต่ไม่เคยได้รับคุณค่าที่แท้จริง


สาเหตุคือ การรวมศูนย์ไม่สามารถแก้การออกแบบที่ผิดพลาดได้


ถ้าอาคารถูกออกแบบโดยสมมติว่ามีคนหน้างาน

  • ผู้ควบคุมจากระยะไกลจะล้นงาน

  • การตัดสินใจล่าช้า

  • ความเป็นอัตโนมัติจะพังลง


MEP Design Consultant คือผู้ตัดสินว่าศูนย์ควบคุมกลางจะ “เสริมพลัง” หรือ “สร้างภาระ”


คุณค่าใหม่ของที่ปรึกษาออกแบบ MEP


ในยุค No-Man Operation ที่ปรึกษา MEP กลายเป็น

  • ผู้แปลงประสบการณ์มนุษย์เป็นตรรกะของระบบ

  • ผู้ออกแบบขอบเขตระหว่างคนกับเครื่อง

  • ผู้ออกแบบของการบริหารที่ขยายสเกลได้


ผลงานของเขาจะกำหนดว่าวิศวกรหนึ่งคนดูแลได้

  • หนึ่งอาคาร

  • หรือสิบอาคาร

  • หรือห้าสิบอาคาร


และนี่คือคุณค่าที่แท้จริง


บทสรุป: มนุษย์ยังจำเป็น


แต่ไม่จำเป็นต้องอยู่ในอาคาร


No-Man Operation ไม่ใช่การตัดมนุษย์ออกแต่คือการ ปลดปล่อยมนุษย์ออกจากอาคาร


ด้วยการออกแบบให้มีศูนย์ควบคุมกลางการตอบสนองอัตโนมัติขั้นต้นและการ Escalate บนข้อมูลจริง


ที่ปรึกษา MEP ช่วยให้องค์กร

  • ใช้ความเชี่ยวชาญของมนุษย์อย่างมีคุณค่า

  • ลดการมีคนประจำโดยไม่จำเป็น

  • บริหาร “พอร์ตโฟลิโอ” ไม่ใช่แค่อาคารเดี่ยว


ความเป็นอัตโนมัติไม่ใช่การไม่มีมนุษย์ แต่คือผลลัพธ์ของการที่มนุษย์ถูกฝังอยู่ในงานออกแบบแทนที่จะถูกผูกไว้กับสถานที่


และทั้งหมดนี้ เริ่มต้นที่การออกแบบ MEP

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page