top of page

"ระบบวิศวกรรมโรงพยาบาล – เบื้องหลังความปลอดภัยของชีวิตผู้ป่วย"

โดย จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property and Asset Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

17 June 2025

ree

เมื่อพูดถึง “โรงพยาบาล” คนส่วนใหญ่มักนึกถึงทีมแพทย์ พยาบาล เครื่องมือการแพทย์ และห้องฉุกเฉินที่พร้อมรับสถานการณ์ 24 ชั่วโมง แต่เบื้องหลังระบบเหล่านี้ ยังมี “ระบบวิศวกรรมโรงพยาบาล” ที่ทำงานเงียบ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนภารกิจชีวิตโดยไม่อาจสะดุดได้แม้เพียงวินาทีเดียว


บทความนี้จะพาผู้อ่านไปสำรวจความแตกต่างที่สำคัญระหว่างระบบวิศวกรรมของโรงพยาบาลกับอาคารทั่วไป พร้อมเน้นให้เห็นว่าเหตุใดจึงต้องการมาตรฐานที่สูงขึ้น และผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะทาง


1. ความต่อเนื่องของการดำเนินงาน: ไม่มีคำว่า “ระบบล่ม”


ในโรงพยาบาล โดยเฉพาะในห้องผ่าตัดหรือหอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) การหยุดชะงักของระบบ ไม่ว่าจะเป็นไฟฟ้า อากาศ หรือการสื่อสาร อาจหมายถึงความสูญเสียของชีวิตดังนั้น ระบบทั้งหมดต้องมีการออกแบบให้ “ไม่ล่มแม้แต่วินาทีเดียว” เช่น

  • ระบบไฟฟ้าสำรอง (Generator) ที่สามารถเริ่มทำงานทันทีเมื่อไฟฟ้าดับ

  • ระบบ UPS ที่จ่ายไฟได้ต่อเนื่องโดยไม่มีช่วงขาดตอน

  • ระบบน้ำที่มีแหล่งสำรองและปั๊มพลังงานสำรองไว้พร้อมเสมอ


2. การควบคุมการติดเชื้อ: อากาศและน้ำคือด่านสำคัญ


โรงพยาบาลเป็นพื้นที่ที่มีทั้งผู้ป่วยแพร่เชื้อและผู้ป่วยที่ต้องปลอดเชื้อ ดังนั้น การควบคุมการไหลเวียนของอากาศและคุณภาพน้ำจึงเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด


ระบบอากาศ:

  • มีการควบคุมทิศทางการไหลของอากาศ (positive/negative pressure) เพื่อไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายข้ามพื้นที่

  • มีการกรองอากาศด้วยแผงกรองอากาศประสิทธิภาพสูง

  • ควบคุมอุณหภูมิและความชื้นอย่างแม่นยำ เพื่อลดโอกาสการเติบโตของเชื้อรา


ระบบน้ำ:

  • ต้องผ่านการกรองและควบคุมความสะอาดเป็นพิเศษ

  • มีการทดสอบหาจุลินทรีย์อันตราย เช่น Legionella อย่างสม่ำเสมอ

  • แผนกพิเศษ เช่น หน่วยไต ต้องใช้ระบบผลิตน้ำบริสุทธิ์ (RO) เฉพาะทาง


3. ระบบเฉพาะทาง: สิ่งที่อาคารทั่วไปไม่มี


โรงพยาบาลมีระบบเฉพาะที่จำเป็นต่อการรักษาพยาบาลที่ไม่พบในอาคารทั่วไป เช่น

  • ระบบก๊าซทางการแพทย์: เช่น ออกซิเจน ไนตรัสออกไซด์ หรืออากาศอัด ที่ส่งผ่านท่อไปยังทุกเตียงผู้ป่วย

  • ระบบสุญญากาศ: ใช้ดูดของเหลว เช่น เสมหะ เลือด

  • ระบบอากาศอัด: ให้พลังงานกับเครื่องมือแพทย์บางชนิด

  • ระบบไฟฟ้าปลอดภัยพิเศษ: ใช้ Isolation Transformer ป้องกันไฟฟ้าดูดผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ในบริเวณที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ในห้องผ่าตัด ห้องไอซียู


4. การจัดการน้ำเสียและของเสียติดเชื้อ


น้ำเสียจากโรงพยาบาลต้องไม่เหมือนใคร

  • ต้องผ่านการบำบัดก่อนปล่อยออกสู่สาธารณะ

  • ห้องแล็บบางแห่งต้องแยกบำบัดสารเคมี

  • ของเสียติดเชื้อ เช่น ผ้าพันแผลเปื้อนเลือด ต้องเก็บและกำจัดผ่านระบบเฉพาะ


5. ความปลอดภัยของก๊าซทางการแพทย์


ออกซิเจนซึ่งใช้แพร่หลายในโรงพยาบาล เป็นก๊าซไวไฟสูง การจัดเก็บต้องได้มาตรฐาน เช่น:

  • ต้องแยกห้องเก็บและมีระบบระบายอากาศ

  • ห้ามมีแหล่งประกายไฟใกล้พื้นที่จัดเก็บ

  • มีการตรวจสอบระบบรั่วไหลอย่างสม่ำเสมอ


6. วิศวกรบำรุงรักษาอาคารโรงพยาบาล: เบื้องหลังที่ไม่มีวันหลับ


ในขณะที่ทีมแพทย์รักษาชีวิตตรงหน้า วิศวกรบำรุงรักษาอาคารก็คือทีมสนับสนุนที่รับผิดชอบ “ชีวิตระบบ” ของอาคารทั้งหลัง

  • ต้องเข้าใจระบบหลายด้านที่ซับซ้อนเกินอาคารทั่วไป

  • ต้องมีแผนการบำรุงรักษาเชิงป้องกันและแผนสำรองเสมอ

  • ต้องตอบสนองฉับไวในกรณีฉุกเฉิน เพราะ “ทุกวินาทีคือชีวิต”


สรุป: เบื้องหลังความปลอดภัยคือ “ระบบที่ไม่ผิดพลาด”


โรงพยาบาลเป็นอาคารที่ “มีข้อผิดพลาดไม่ได้เลย” เพราะผลกระทบจากความล้มเหลวเล็กน้อยของระบบอาจนำไปสู่การสูญเสียที่ใหญ่หลวง ดังนั้น ระบบวิศวกรรมของโรงพยาบาลจึงไม่ได้เป็นแค่เรื่องของเครื่องจักร แต่คือ “ภารกิจแห่งชีวิต” ที่วิศวกรทุกคนต้องตระหนักในความหมาย


หากคุณเคยเข้าโรงพยาบาลและได้รับการรักษาอย่างปลอดภัย ลองมองขึ้นไปบนเพดาน หรือมองไปรอบตัว แล้วคุณจะเห็นระบบมากมายที่ทำงานเงียบ ๆ เพื่อให้ “ชีวิตของคุณ” ปลอดภัยในทุกวินาที


Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page