“สายเส้นเล็ก แต่น้ำท่วมใหญ่” : บทเรียนจากสายน้ำดีและ Stop Valve ในคอนโดและอาคารสูง
- Chakrapan Pawangkarat
- Aug 17
- 2 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property and Asset Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
17 August 2025

บทนำ: ปัญหาที่หลายคนไม่ทันคิด
เมื่อพูดถึงความเสี่ยงในอาคารสูง ภาพที่มักจะผุดขึ้นมาในใจของหลายคนคือเหตุการณ์ใหญ่ ๆ อย่างไฟไหม้ แผ่นดินไหว ลิฟต์ค้าง หรือไฟฟ้าดับ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรงและบ่อยครั้งที่สุดกลับเป็นเรื่องที่ดูเล็กน้อยกว่านั้นมาก — “น้ำท่วมจากท่อภายในอาคาร”
และที่น่าตกใจคือ ความเสียหายจำนวนมหาศาลนี้ ไม่ได้มาจากพายุหรือน้ำท่วมจากภายนอก แต่เกิดจากอุปกรณ์เล็ก ๆ ในห้องที่เราใช้กันทุกวัน โดยเฉพาะ สายน้ำดีของสายฉีดชำระ หรือ ท่อน้ำเข้าอ่างล้างจาน ที่ชำรุดจนทำให้น้ำไหลไม่หยุด

สายน้ำดี: จุดเล็กที่ซ่อนความเสี่ยงใหญ่
สายอ่อน (flexible hose) เป็นท่อเส้นเล็กที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อท่อน้ำกับสุขภัณฑ์ เช่น สายฉีดชำระ ก๊อกน้ำ อ่างล้างจาน หรือเครื่องทำน้ำอุ่น แม้จะมีราคาถูกและติดตั้งง่าย แต่มีข้อจำกัดที่สำคัญคือ อายุการใช้งานสั้น
สายอ่อนที่พบในท้องตลาด เมื่อใช้งานไปนาน ๆ โครงสร้างภายในจะเสื่อมสภาพจากแรงดันน้ำ ความชื้น และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลง สายจะกรอบ แตก และรั่วได้ง่าย เมื่อถึงจุดนั้น น้ำประปาที่มีแรงดันสูง โดยเฉพาะในอาคารสูง จะพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีสิ่งใดหยุด
หากไม่มีคนอยู่ในห้องเพื่อปิดน้ำ ความเสียหายสามารถลุกลามอย่างรวดเร็ว ทั้งในห้องต้นเหตุ ห้องข้างเคียง และพื้นที่ส่วนกลาง
ตัวเลขความเสียหาย: น้ำ 1 สาย = หลักแสนถึงหลักล้าน
มีหลายกรณีศึกษาในกรุงเทพฯ ที่สะท้อนความจริงนี้ เช่น คอนโดหรูย่านสุขุมวิทที่เคยเกิดน้ำท่วมจากสายน้ำดีแตกในห้องที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย น้ำไหลต่อเนื่องหลายชั่วโมงจนทะลักลงมาสามชั้นติดต่อกัน
ผลลัพธ์คือ:
พื้นไม้บวมเสียหาย
ฝ้าเพดานพังทลาย
น้ำซึมเข้าระบบลิฟต์จนต้องปิดใช้งานทั้งอาคาร
ค่าเสียหายรวมกว่า 7 ล้านบาท และที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าของห้องต้นเหตุไม่มีประกัน ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายร่วมกับนิติบุคคลอาคารชุด
นี่คือตัวอย่างที่ชัดเจนว่า สายเล็ก ๆ เส้นเดียวสามารถสร้างปัญหาใหญ่ในระดับทั้งอาคารได้
Stop Valve: วาล์วเล็กที่ช่วยชีวิตอาคาร
ทางออกที่ง่ายที่สุดในการลดความเสี่ยงคือการใช้ Stop Valve หรือวาล์วปิด-เปิดน้ำเฉพาะจุด ซึ่งมักจะถูกติดตั้งก่อนเข้าสายน้ำดี
เมื่อเกิดการรั่ว → สามารถหมุนปิด Stop Valve ได้ทันที
หากไม่อยู่ห้อง → ปิด Stop Valve ก่อนออกเดินทาง เพื่อตัดความเสี่ยงไปได้เกือบ 100%
ปัญหาที่พบบ่อยคือผู้พักอาศัยหลายคน ไม่เคยรู้ว่ามี Stop Valve หรือไม่เคยได้รับคำแนะนำให้นำมาใช้จริง จึงปล่อยให้โอกาสป้องกันถูกมองข้ามไป
ความเสียหายที่ไม่ได้หยุดแค่ในห้อง
ความเสียหายจากสายน้ำดีแตกไม่ได้จบเพียงแค่ห้องที่เกิดเหตุ หากปล่อยไว้ น้ำสามารถไหลลามไปยัง:
ห้องอื่น ๆ ทั้งด้านข้างและด้านล่าง
พื้นที่ส่วนกลาง เช่น โถง ลิฟต์ ห้องเครื่อง
ระบบวิศวกรรมอาคาร เช่น ระบบไฟฟ้า ระบบสื่อสาร หรือระบบควบคุมอัตโนมัติ
ในหลายกรณี การซ่อมลิฟต์ที่ถูกน้ำท่วมต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงถึง 500,000 – 1,000,000 บาทต่อเครื่อง และใช้เวลาหลายวันกว่าจะกลับมาใช้งานได้
บทบาทของผู้บริหารอาคาร
ในฐานะผู้บริหารอาคาร การจัดการความเสี่ยงนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และต้องทำในเชิงรุกมากกว่ารอแก้ไขเมื่อเกิดเหตุ มาตรการที่ควรนำมาใช้ ได้แก่:
การตรวจสอบเชิงป้องกัน (Preventive Inspection) ให้ทีมช่างตรวจสอบสายน้ำดีตามยูนิตต่าง ๆ และแจ้งเจ้าของห้องหากพบความเสื่อมสภาพ
กำหนดอายุการใช้งาน แนะนำผู้พักอาศัยให้เปลี่ยนสายน้ำดีทุก 2–3 ปี แม้ยังไม่เสียหาย เพื่อป้องกันเหตุ
การสื่อสารและรณรงค์ จัดทำสื่อ เช่น คลิปวิดีโอ แผ่นพับ หรือป้ายประกาศ เพื่อสร้างความรู้ให้ผู้พักอาศัยเห็นความสำคัญของ Stop Valve และการดูแลสายน้ำดี
ทำคู่มือเจ้าของร่วม (Owner’s Guide) ระบุชัดเจนว่าการดูแลสุขภัณฑ์และสายน้ำดีเป็น “ความรับผิดชอบของเจ้าของห้อง”
มุมมองด้านประกันภัย: คิดเผื่อ “ประกันบุคคลที่ 3”
เมื่อเกิดความเสียหายจากน้ำท่วมในคอนโด สิ่งที่ซับซ้อนที่สุดไม่ใช่แค่การซ่อมแซม แต่คือ การรับผิดชอบต่อค่าเสียหาย
เจ้าของห้องจำนวนมากทำเพียง ประกันทรัพย์สินของห้องตัวเอง ซึ่งคุ้มครองเฟอร์นิเจอร์ พื้น และของใช้ในห้อง แต่ ไม่ครอบคลุมความเสียหายที่ลุกลามไปยังส่วนกลางหรือห้องอื่น ๆ
ประกันภัยบุคคลที่ 3 (Third-Party Liability Insurance)
นี่คือสิ่งที่เจ้าของห้องทุกคนควรพิจารณา เพราะความคุ้มครองครอบคลุมถึง:
ความเสียหายต่อเพื่อนบ้าน หากน้ำไหลไปยังห้องอื่น
ความเสียหายต่อส่วนกลาง เช่น โถง ลิฟต์ ห้องเครื่อง
ค่าใช้จ่ายทางกฎหมาย หากเกิดข้อพิพาท
วงเงินคุ้มครองเริ่มตั้งแต่ 500,000 บาท ไปจนถึงหลักล้านบาท ขึ้นอยู่กับแผนประกันและบริษัทที่เลือก
ตัวอย่างสถานการณ์
ห้องชั้น 25 สายน้ำดีแตก → น้ำซึมลงไปท่วมห้องชั้น 24 และ 23 รวมถึงลิฟต์
ค่าเสียหายรวมกว่า 3 ล้านบาท
หากมีเพียงประกันห้องตัวเอง → จ่ายแค่ความเสียหายในห้องต้นเหตุ
หากมีประกันบุคคลที่ 3 → คุ้มครองค่าเสียหายต่อผู้อื่นและส่วนกลางด้วย
สำนักงาน: ความเสี่ยงที่มักถูกมองข้าม
สำนักงานในอาคารสูงก็เผชิญปัญหาคล้ายกัน โดยเฉพาะจากอ่างล้างจานหรือเครื่องกรองน้ำที่ต่อเข้าท่อประปา หากท่อหรือสายชำรุดในช่วงนอกเวลาทำการ น้ำสามารถท่วมพื้นที่ทำงานของหลายบริษัทได้
ผลกระทบที่ตามมานอกจากความเสียหายต่อทรัพย์สินแล้ว ยังรวมถึง การหยุดชะงักของธุรกิจ (Business Interruption) ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจได้มากกว่าค่าซ่อมแซมเสียอีก
บทเรียนสำหรับผู้บริหารอาคาร
ปัญหาสายน้ำดีแตกเป็นตัวอย่างชัดเจนว่า งานบริหารอาคารไม่ใช่เพียงการดูแลระบบใหญ่ แต่คือการจัดการความเสี่ยงจากรายละเอียดเล็ก ๆ ที่อาจสร้างผลกระทบมหาศาล
สิ่งสำคัญคือการทำงานเชิงรุก ทั้งในมุมของการตรวจสอบ การให้ความรู้ผู้ใช้อาคาร และการส่งเสริมการทำประกันภัยที่ครอบคลุมความรับผิดชอบต่อบุคคลที่สาม
Check-list สำหรับเจ้าของห้องคอนโดและผู้เช่าอาคาร
🔧 ตรวจสอบสายน้ำดีเป็นประจำ หากเริ่มแข็ง กรอบ หรือมีรอยรั่ว → เปลี่ยนทันที
🚰 ใช้ Stop Valve อย่างถูกต้อง ปิดทุกครั้งเมื่อไม่อยู่ห้องนาน ๆ หรือออกไปต่างจังหวัด
⏳ เปลี่ยนสายน้ำดีทุก 2–3 ปี แม้ยังไม่เสียหาย เพื่อป้องกันปัญหาล่วงหน้า
🛡️ ทำประกันภัยบุคคลที่ 3 เพื่อคุ้มครองหากเกิดความเสียหายลามไปถึงห้องอื่นหรือส่วนกลาง
📢 แจ้งและรับคำแนะนำจากสำนักงานบริหารอาคาร หากไม่แน่ใจเรื่องการติดตั้งหรือการดูแล
บทสรุป
สายเล็ก ๆ เส้นเดียวอาจสร้างน้ำท่วมใหญ่ได้จริง แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยมาตรการง่าย ๆ เช่น การใช้ Stop Valve การตรวจสอบเชิงป้องกัน และการทำประกันภัยบุคคลที่ 3
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่า งานบริหารอาคารคือการจัดการ “ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่” ให้กลายเป็น “ความปลอดภัยที่จับต้องได้” และบางครั้ง คำตอบของปัญหาใหญ่ก็ซ่อนอยู่ในรายละเอียดเล็ก ๆ ที่เรามักมองข้าม


