top of page

ออกแบบเพื่อความปลอดภัย: หลักการออกแบบความมั่นคงปลอดภัยในยุคอาคารอัจฉริยะและยั่งยืน

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

25 October 2025


ree

บทนำ — นิยามใหม่ของ “ความปลอดภัย” ในสถาปัตยกรรมยุคใหม่


เมื่ออาคารไม่ได้เป็นเพียงโครงสร้างคอนกรีต แต่คือ “ระบบนิเวศ” ที่ประกอบด้วยเทคโนโลยี ผู้คน และกระบวนการทำงานร่วมกัน “ความปลอดภัย” (Security) จึงไม่ได้หมายถึงแค่การล็อกประตูหรือมียามเฝ้าอีกต่อไป แต่หมายถึงความสามารถของอาคารในการ คาดการณ์ ป้องกัน และฟื้นตัวจากเหตุการณ์ไม่คาดคิด โดยไม่สูญเสียความเชื่อมั่นของผู้ใช้และความต่อเนื่องของธุรกิจ


โลกปัจจุบันเผชิญความเสี่ยงซับซ้อนมากขึ้น ตั้งแต่ภัยก่อการร้าย การบุกรุก การโจมตีทางไซเบอร์ ไปจนถึงเหตุภัยธรรมชาติและภาวะโลกร้อน ขณะที่เมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ เติบโตขึ้นด้วยอาคารสูงผสมผสาน (Mixed-Use) ที่มีทั้งสำนักงาน โรงแรม และพื้นที่สาธารณะร่วมกัน ความปลอดภัยของอาคารจึงไม่อาจแยกออกจาก การออกแบบเมือง การบริหารอาคาร และความยั่งยืน (Sustainability) ได้อีกต่อไป


ความมั่นคงปลอดภัยสมัยใหม่ไม่ใช่การ “รับมือหลังเหตุเกิด” แต่คือการ “ออกแบบให้พร้อมรับมือได้ตั้งแต่แรก” บทความนี้สรุปหลักการ 10 ประการของการออกแบบความปลอดภัยที่ผสานทั้งสถาปัตยกรรม วิศวกรรม และเทคโนโลยี เพื่อสร้างอาคารที่ไม่เพียง “ป้องกันภัย” แต่ยัง “สร้างความเชื่อมั่นและความต่อเนื่อง” ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจในระยะยาว


1. การป้องกันแบบหลายชั้น (Layered Defense) — รากฐานของอาคารที่ยืดหยุ่น


หลักการ “การป้องกันแบบหลายชั้น” หรือ Defense-in-Depth มีที่มาจากแนวคิดทางทหารและความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยเน้นว่า “ไม่มีระบบใดปลอดภัยจากการโจมตีชั้นเดียว” การออกแบบอาคารที่ปลอดภัยจึงต้องมี หลายชั้นของการป้องกัน ตั้งแต่รอบนอกจนถึงใจกลาง

  • ชั้นรอบนอก (Perimeter): ใช้แนวรั้ว จุดกันรถ (Bollards) และระยะถอยอาคารจากถนนเพื่อลดความเสี่ยงจากการชนหรือการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต

  • ชั้นอาคาร (Building Envelope): ออกแบบประตูและผนังให้มีความแข็งแรง ใช้กระจกนิรภัยและระบบควบคุมการเข้าออก

  • ชั้นภายใน (Interior Zoning): แยกพื้นที่สาธารณะกับพื้นที่จำกัดสิทธิ์ เช่น ใช้ประตูคีย์การ์ดหรือระบบสแกนใบหน้า


ในอาคารขนาดใหญ่หลายแห่งในกรุงเทพฯ เช่น โครงการแบบผสมผสาน (Mixed-use) การรักษาความปลอดภัยเริ่มต้นตั้งแต่ทางเข้ารถยนต์ โดยใช้ระบบ อ่านป้ายทะเบียนอัตโนมัติ (License Plate Recognition) เชื่อมกับฐานข้อมูลผู้มาเยือน เป็นตัวอย่างของการบูรณาการ “ความปลอดภัยทางกายภาพ” และ “ความปลอดภัยทางดิจิทัล” ในระดับต้นน้ำของการออกแบบ


2. การควบคุมการเข้าออกโดยธรรมชาติ (Natural Access Control)


หลักการนี้มาจากแนวคิด Crime Prevention Through Environmental Design (CPTED) ซึ่งเชื่อว่า “สิ่งแวดล้อมสามารถกำหนดพฤติกรรมของคนได้” การออกแบบสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ควรช่วยให้ผู้คน “รู้โดยสัญชาตญาณ” ว่าควรเข้าออกทางไหน และไม่ควรไปพื้นที่ใด


เส้นทางคนเดินควรถูกออกแบบให้ชัดเจน มีแสงสว่างเพียงพอ และมีทางเข้าออกที่เห็นได้จากจุดรักษาความปลอดภัย พื้นที่ที่ไม่ต้องการให้เข้าควรถูกขัดขวางโดยธรรมชาติ เช่น การใช้พรรณไม้ รั้วเตี้ย หรือผนังตกแต่ง


ในด้านเทคโนโลยี ปัจจุบันมีการใช้ ระบบบัตรเข้าออกดิจิทัล (Mobile Credentials) และ รหัสผ่านแบบชั่วคราว (QR Visitor Pass) ที่เชื่อมต่อกับระบบนัดหมายของผู้เช่า ทำให้การควบคุมผู้มาเยือนแม่นยำขึ้นโดยไม่ต้องใช้แรงงานเพิ่ม


3. การเฝ้าระวังโดยธรรมชาติ (Natural Surveillance)


“การมองเห็น” คือการป้องปรามที่ดีที่สุด อาคารที่ปลอดภัยต้องออกแบบให้สามารถมองเห็นพื้นที่สำคัญได้ตลอดเวลา ทั้งจากคนและระบบกล้อง


พื้นที่โถงทางเข้า ทางเดิน หรือที่จอดรถ ควรมี แนวสายตาเปิดโล่ง (Clear Sight Lines) และ แสงสว่างที่เพียงพอ เพื่อไม่ให้เกิดมุมอับหรือจุดลับตา กล้องวงจรปิด (CCTV) ควรถูกออกแบบตำแหน่งตั้งแต่ขั้นตอนออกแบบสถาปัตย์ ไม่ใช่ติดตั้งภายหลัง


เทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI Video Analytics) ช่วยให้ระบบกล้องสามารถตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การวนเวียนอยู่ในพื้นที่นานเกินปกติ การพยายามเปิดประตูที่ไม่ได้รับอนุญาต หรือการรวมกลุ่มหนาแน่นผิดเวลา ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์ควบคุมได้ทันที — เปลี่ยน “การเฝ้าระวัง” ให้กลายเป็น “การคาดการณ์”


4. การเสริมสร้างขอบเขตพื้นที่ (Territorial Reinforcement)


มนุษย์มักปกป้องพื้นที่ที่รู้สึกว่าเป็นของตนเอง การออกแบบอาคารที่ดีจึงควร สร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของพื้นที่ (Sense of Ownership) ผ่านการใช้สัญญาณทางสถาปัตยกรรม เช่น สี พื้นผิว ป้ายชื่อ และแสงไฟ เพื่อบ่งบอกว่าพื้นที่ใดเป็นสาธารณะ และพื้นที่ใดเป็นส่วนบุคคล


ในอาคารสำนักงาน สามารถใช้พื้นวัสดุที่ต่างกันระหว่างโถงทางเข้าและพื้นที่ทำงาน หรือใช้ระบบไฟที่ปรับโทนแสงต่างกันเพื่อบ่งบอกเขต ในอาคารชุดพักอาศัย อาจใช้สวนหรือระเบียงส่วนกลางเป็นตัวแบ่งขอบเขตโดยไม่ต้องสร้างกำแพงจริง


ในยุคดิจิทัล การเสริมขอบเขตยังรวมถึง “พื้นที่ออนไลน์” เช่น แอปพลิเคชันของผู้อยู่อาศัย (Resident App) ที่สามารถดูสถานะการส่งพัสดุหรือการเข้าออกของแขก เป็นอีกวิธีสร้างความรู้สึกมีส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยร่วมกัน


5. ความแข็งแรงและความซ้ำซ้อนของระบบ (Physical Hardening and Redundancy)


ไม่มีเทคโนโลยีใดทดแทน “ความแข็งแรงของโครงสร้าง” ได้ การออกแบบอาคารที่ปลอดภัยต้องคำนึงถึงวัสดุและองค์ประกอบที่สามารถทนต่อแรงกระแทก การระเบิด และไฟไหม้

ตัวอย่างได้แก่

  • กระจกนิรภัยกันแรงระเบิด,

  • ประตูเหล็กกันไฟ,

  • ผนังป้องกันการบุกรุก, และ

  • ตู้ควบคุมไฟฟ้าหรือศูนย์สื่อสารที่อยู่ในห้องแยกป้องกันไฟ


ในอาคารขนาดใหญ่ ระบบสำคัญอย่างกล้องวงจรปิดและระบบเตือนภัยควรมี แหล่งจ่ายไฟสำรอง (UPS) และ สายสัญญาณสำรอง (Redundant Network Path) เพื่อไม่ให้การสื่อสารขาดตอนในกรณีเกิดเหตุ


ในประเทศไทย การออกแบบที่คำนึงถึง ภัยน้ำท่วมและไฟดับ ถือเป็นหัวใจของความมั่นคงทางกายภาพ เช่น การยกตำแหน่งช่องลมของระบบปรับอากาศให้สูงจากพื้น หรือการแยกตู้ควบคุมหลักไว้บนชั้นเทคนิคเหนือระดับน้ำ


6. ระบบความปลอดภัยแบบบูรณาการ (Integrated Security Systems)


ในอดีต ระบบกล้อง ระบบสัญญาณเตือน และระบบควบคุมการเข้าออกมักทำงานแยกจากกัน แต่ในยุคอาคารอัจฉริยะ ระบบเหล่านี้ต้อง เชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อให้เจ้าหน้าที่เห็นภาพรวมของสถานการณ์


ระบบบริหารจัดการความปลอดภัยแบบรวมศูนย์ (Security Management Platform) จะเชื่อมต่อข้อมูลจาก กล้องวงจรปิด, ระบบควบคุมลิฟต์, ระบบตรวจจับควัน, ระบบไฟฟ้าและอาคาร (BMS) มาที่ศูนย์เดียว เมื่อเกิดเหตุผิดปกติ เช่น การเปิดประตูผิดสิทธิ์ ระบบจะเรียกภาพจากกล้องที่เกี่ยวข้องขึ้นทันทีและแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ผ่านมือถือ


อย่างไรก็ตาม การบูรณาการต้องควบคู่กับ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity by Design) เพราะช่องทางเดียวกันที่ใช้แลกเปลี่ยนข้อมูล อาจกลายเป็นช่องโหว่ให้ผู้ไม่หวังดีเจาะเข้ามาได้ การออกแบบเครือข่ายจึงควรใช้หลัก Zero-Trust Architecture — ไม่มีระบบใดที่ “เชื่อถือได้โดยอัตโนมัติ” ทุกจุดต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์และเข้ารหัส


7. มนุษย์เป็นหัวใจของระบบความปลอดภัย (Human-Centric Operations)


อาคารจะปลอดภัยได้ก็ต่อเมื่อคนที่ดูแล “เข้าใจระบบและตัดสินใจได้ดีในเวลาจำกัด” ห้องควบคุม (Security Control Room) จึงต้องออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ เช่น

  • จัดมุมมองให้เห็นจอภาพชัดเจน

  • ลดแสงสะท้อน

  • จัดวางอุปกรณ์ให้อยู่ในระยะใช้งานที่เหมาะสม


นอกจากนี้ บุคลากรต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้าน ระบบบัญชาการเหตุฉุกเฉิน (Incident Command System) และ การสื่อสารในภาวะวิกฤต (Emergency Communication)

ในโครงการขนาดใหญ่ การบูรณาการระหว่าง ทีมบริหารอาคาร ผู้เช่า และหน่วยงานภาครัฐ เป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้การรับมือเหตุการณ์จริงเป็นไปตามแผนเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ


8. ความยืดหยุ่นและการดำเนินงานต่อเนื่อง (Resilience and Continuity)


เป้าหมายของการออกแบบความปลอดภัย ไม่ใช่เพียง “ป้องกันเหตุ” แต่ต้อง “ทำให้อาคารยังคงทำงานได้หลังเหตุเกิด” อาคารที่ดีต้องมีระบบซ้ำซ้อน แหล่งพลังงานสำรอง เส้นทางหนีภัยที่ปลอดภัย และพื้นที่พักพิงชั่วคราว (Refuge Area)


มาตรฐานสากล เช่น ISO 22301 (Business Continuity Management) และ NFPA 1600 (Disaster/Emergency Management) แนะนำให้แผนความต่อเนื่องถูกออกแบบควบคู่ตั้งแต่วันแรกของการออกแบบอาคาร ไม่ใช่หลังสร้างเสร็จแล้วค่อยวางแผน


ในอาคารผสมผสาน เช่น โครงการที่มีทั้งสำนักงาน โรงแรม และห้างสรรพสินค้า แผนความต่อเนื่องต้องรวมทุกฝ่ายในระบบเดียวกัน เพื่อให้เมื่อเกิดเหตุ ทุกหน่วยสามารถตอบสนองอย่างมีลำดับและลดความเสียหายได้สูงสุด


9. ความยั่งยืนและความปลอดภัยที่เดินไปด้วยกัน (Sustainability Meets Security)


ในอดีต “ความปลอดภัย” และ “ความยั่งยืน” มักถูกมองว่าอยู่คนละด้าน — แต่ในอาคารยุคใหม่ ทั้งสองแนวคิดนี้กลับ เสริมกันได้อย่างกลมกลืน


ตัวอย่างเช่น การใช้ หลอดไฟ LED ประหยัดพลังงาน ไม่เพียงลดการใช้ไฟ แต่ยังเพิ่มความสว่างในพื้นที่เสี่ยง การติดตั้งกล้องและไฟถนนพลังงานแสงอาทิตย์ช่วยลดคาร์บอนและเพิ่มความต่อเนื่องแม้ไฟดับ


วัสดุที่มีความแข็งแรงและสามารถรีไซเคิลได้ เช่น โลหะผสมเบา หรือแผ่นกันกระแทกแบบโมดูลาร์ ช่วยให้อาคารสามารถอัปเกรดระบบความปลอดภัยในอนาคตโดยไม่ต้องรื้อถอนมาก


ในมิติทางสังคม (Social Sustainability) ความรู้สึก “ปลอดภัย” คือหัวใจของความยั่งยืนทางมนุษย์ อาคารที่ทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจที่จะใช้ชีวิต คืออาคารที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง


10. การบริหารความปลอดภัยเชิงสติปัญญา (Cognitive Security Management)


จุดเปลี่ยนสำคัญของอนาคตคือ “อาคารที่เรียนรู้และตัดสินใจร่วมกับมนุษย์ได้” — นี่คือแนวคิดของ Cognitive Security Management


อาคารยุคใหม่นำเทคโนโลยีอย่าง AI, IoT Sensors และ Digital Twin มาช่วยให้ระบบสามารถเรียนรู้จากข้อมูลจริง เช่น

  • ความหนาแน่นของคนในแต่ละช่วงเวลา

  • พฤติกรรมการเข้าออกพื้นที่

  • สัญญาณจากกล้องหรือระบบอากาศ


เมื่อระบบตรวจพบความผิดปกติ เช่น การรวมกลุ่มผิดเวลา หรือการพยายามเข้าพื้นที่จำกัดสิทธิ์ มันสามารถประมวลผล เปรียบเทียบข้อมูล และ แนะนำการตอบสนองให้เจ้าหน้าที่ทันที


ในอาคารสำนักงานสมัยใหม่ ระบบ Digital Twin อาจจำลองเหตุการณ์ความแออัด และสั่งปรับทิศกล้องหรือเปิดไฟเฉพาะจุดเพื่อช่วยทีมรักษาความปลอดภัย — เป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง “ข้อมูล” กับ “มนุษย์” อย่างแท้จริง


อนาคตของการออกแบบความปลอดภัยจึงไม่ได้หยุดอยู่ที่ “การตรวจจับ” แต่ก้าวสู่ “การคาดการณ์และการตัดสินใจร่วม” เพื่อให้อาคารฉลาดขึ้น ยืดหยุ่นขึ้น และปลอดภัยขึ้นในทุกมิติ


บทสรุป — การออกแบบเพื่อความไว้วางใจและความต่อเนื่อง


ความปลอดภัยในยุคนี้ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติตามกฎหมาย แต่คือ กลยุทธ์สร้างความไว้วางใจ (Designing for Trust)เมื่อผู้ใช้อาคารรู้สึกปลอดภัย พวกเขาจะกล้าใช้ชีวิต ทำงาน และลงทุนต่อเนื่อง ความมั่นคงจึงกลายเป็น “มูลค่า” ทางเศรษฐกิจและสังคม


อาคารยุคใหม่จึงต้องมอง “Security” เป็นส่วนหนึ่งของ ประสิทธิภาพองค์กร (Organizational Performance) และ ความยั่งยืนของเมือง (Urban Resilience)เพราะสุดท้ายแล้ว “อาคารที่ดี” ไม่ได้หมายถึงอาคารที่ป้องกันภัยได้ดีที่สุดเท่านั้นแต่คืออาคารที่สามารถ เรียนรู้ ปรับตัว และปกป้องผู้คนอย่างมีมนุษยธรรม


Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page