Mixed-Use จะสำเร็จได้… ถ้าบริหารอย่างเข้าใจทุกชีวิตในอาคาร
- Chakrapan Pawangkarat
- 7 days ago
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
6 December 2025

โครงการ Mixed-Use กลายเป็นหนึ่งในโมเดลพัฒนาเมืองที่เติบโตเร็วที่สุดในเมืองใหญ่ทั่วโลกและสำหรับกรุงเทพฯ—ที่ดินแพง การเดินทางซับซ้อน ไลฟ์สไตล์หลากหลาย—รูปแบบนี้เหมือนจะตอบโจทย์ครบทุกด้าน
แต่ความจริงคือ…
Mixed-Use ไม่ได้สำเร็จเพราะ “รวมหลายฟังก์ชันไว้ด้วยกัน” แต่สำเร็จเพราะ “บริหารทุกฟังก์ชันให้ลงตัวได้พร้อมกัน”
ความท้าทายจึงไม่ได้เริ่มวันเปิดโครงการ แต่เริ่มตั้งแต่วันที่ต้องบริหารให้คน 4 กลุ่มหลักอยู่ร่วมกันได้อย่างราบรื่น:
กลุ่มร้านอาหารที่อยากได้คนเดินเยอะ
ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการความสงบ
ผู้เช่าสำนักงานที่ต้องการความมีประสิทธิภาพ
โรงแรมที่ต้องการกิจกรรมคึกคักเพื่อสร้างบรรยากาศ
แต่ละกลุ่ม “ต้องการคนละอย่าง” และ “บางครั้งตรงข้ามกันแบบสุดขั้ว”
เพราะฉะนั้น สิ่งที่โครงการ Mixed-Use ต้องการมากที่สุด ไม่ใช่สถาปัตยกรรม ไม่ใช่แลนด์สเคป แต่คือ “การบริหารแบบองค์รวม (Holistic Management)” ที่จะทำให้ทุกฟังก์ชันเสริมกันได้จริง ไม่ใช่รบกันเอง
ศิลปะของการผสมผสาน: เมื่อความต่างกลายเป็นพลังร่วม
หัวใจลับของโครงการ Mixed-Use คุณภาพสูง คือการทำให้ “ผลรวมมากกว่าผลลัพธ์ของแต่ละส่วน” ที่ต่างประเทศเรียกกันว่า impact แบบ accretive—คือยิ่งรวมกัน ยิ่งทำให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
ถ้าบริหารดี ผลที่เกิดขึ้นคือ:
ร้านอาหารมีลูกค้าจากผู้อยู่อาศัย ออฟฟิศ และโรงแรม
โรงแรมได้บรรยากาศคึกคักจากกิจกรรมภายในโครงการ
ผู้เช่าสำนักงานได้สิ่งอำนวยความสะดวกมากกว่าอาคารทั่วไป
ผู้อยู่อาศัยได้ชีวิตแบบครบวงจร ไม่ต้องเดินทางไกล
หนึ่งโซนช่วยอีกโซน โตไปด้วยกัน เกื้อกูลกันแบบยั่งยืน
แต่ในทางกลับกัน หากบริหารไม่ดี…
ผู้อยู่อาศัยรำคาญเสียงจากกิจกรรม
ออฟฟิศเสียประสิทธิภาพเพราะรีเทลสร้างทราฟฟิกมากเกินไป
โรงแรมเสียบรรยากาศเพราะภาพรวมของอาคารไม่บาลานซ์
ร้านค้าเงียบเพราะ flow คนเดินถูกออกแบบผิด
Mixed-Use จึงไม่ใช่การ “เอามาตั้งไว้รวมกัน” แต่คือ “ศิลปะของการผสมผสาน”
บริบทกรุงเทพฯ: โอกาสใหญ่ แต่ความซับซ้อนก็ใหญ่ตาม
กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่ Mixed-Use จะไปได้ไกลที่สุด เพราะ:
ผู้คนใช้เวลาเดินทางมาก ทำให้ “ครบจบในที่เดียว” เป็นข้อได้เปรียบมหาศาล
ไลฟ์สไตล์เมืองมีทั้งทำงานกลางวันและกิจกรรมกลางคืน
พื้นที่พาณิชย์ ร้านอาหาร และรีเทลต้องการทราฟฟิก
กลุ่มผู้อยู่อาศัยต้องการความปลอดภัย ความสงบเป็นส่วนตัว
กลุ่มโรงแรมต้องการ experience และความมีชีวิตชีวา
ทั้งหมดนี้ทำให้การบริหาร Mixed-Use ในกรุงเทพฯ ต้องละเอียดกว่าการบริหารอสังหาฯ ประเภทเดียวแบบเทียบไม่ได้
เพราะคือการดูแล “หลายเมืองเล็ก ๆ” ภายในเมืองใหญ่หนึ่งเมือง
4 หลักที่ต้องทำให้ได้ หากอยากให้ Mixed-Use อยู่รอดและเติบโตในกรุงเทพฯ
1) บริหาร “ความต่าง” ไม่ใช่แค่พื้นที่
เจ้าของโครงการต้องเข้าใจว่าแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรม เสียงรบกวน เวลาใช้งาน และความต้องการต่างกันหมดการจัด zoning, circulation, security flow ต้องดีตั้งแต่แรก
2) ทำให้แต่ละส่วน “เสริมกัน” จริง ไม่ใช่แค่แชร์พื้นที่
ถ้าผสมดี ทุกฟังก์ชันจะเพิ่มมูลค่าให้กันและกัน แต่ถ้าวางผิด ทุกฟังก์ชันจะเบียดกันจนไม่มีใครได้เต็มประสิทธิภาพ
3) ใช้ข้อมูลเป็นตัวนำ (Data-Driven Operations)
Mixed-Use ยิ่งใหญ่ ยิ่งซับซ้อนต้องบริหารด้วยข้อมูล ไม่ใช่สัญชาตญาณทั้งด้านจำนวนคน, peak hour, traffic flow, occupancy demand, พฤติกรรมผู้ใช้
4) บริการต้องเร็ว ยืดหยุ่น และไว้ใจได้
เพราะผู้อยู่อาศัย โรงแรม ร้านค้า และออฟฟิศ ต้องการ response time ต่างกัน แต่ทั้งหมดต้องได้ “เสถียรภาพแบบเดียวกัน” นี่คือบทบาทของทีมบริหารที่ต้องแกร่งกว่าการดูแลอาคารปกติหลายเท่า
บทสรุป: Mixed-Use คืออนาคตของเมือง… แต่อนาคตนี้จะดีหรือไม่ ขึ้นกับการบริหาร
สำหรับกรุงเทพฯ Mixed-Use เป็นโมเดลที่ตอบโจทย์เมืองได้ดีที่สุดในยุคนี้แต่ประสบความสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่าโครงการใหญ่แค่ไหน หรือสวยแค่ไหน
แต่อยู่ที่ว่า…สามารถบริหารให้ทุกกลุ่มอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืนขนาดไหน
เพราะถ้าบริหารดี—ทุกส่วนจะได้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ถ้าบริหารพลาด—ทุกส่วนจะลากกันลง
นี่คือความจริงของ Mixed-Use ที่ต้องใส่ใจมากที่สุด


