Operation Carbon Reduction : เข้าใจและลงมือ ลดคาร์บอนในอาคารอย่างเป็นระบบ
- Chakrapan Pawangkarat
- Jul 8
- 2 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property and Asset Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
8 July 2025

การลดคาร์บอน (Carbon Reduction) ไม่ใช่แค่เรื่องของความยั่งยืนอีกต่อไป แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในโลกธุรกิจยุคใหม่ที่ทุกองค์กรต้องให้ความสำคัญ ทั้งจากแรงกดดันของกฎหมาย ความคาดหวังของนักลงทุน และความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อาคารเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนหลักของเมือง การเริ่มต้นด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงเป็นหัวใจของการวางแผนสู่ Net Zero ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🔍 ทำความเข้าใจการคำนวณคาร์บอน: Scope 1, 2, 3
การวัดคาร์บอนแบ่งออกเป็น 3 ขอบเขตหลัก (Scopes) ตามมาตรฐาน GHG Protocol ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลก ดังนี้:
✅ Scope 1: การปล่อยโดยตรง (Direct Emissions)
คือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมภายในองค์กรหรืออาคารโดยตรง เช่น:
การเผาไหม้เชื้อเพลิงในเครื่องยนต์ดีเซล หรือหม้อไอน้ำ
การรั่วไหลของสารทำความเย็น (Refrigerant Leakage) จากระบบปรับอากาศ
การใช้งานรถยนต์ที่องค์กรเป็นเจ้าของ
ตัวอย่าง: อาคารที่มีหม้อไอน้ำใช้ดีเซลจะต้องนับการเผาไหม้เชื้อเพลิงนั้นเป็น Scope 1
✅ Scope 2: การปล่อยทางอ้อมจากพลังงานที่ซื้อมา (Indirect Emissions from Energy)
คือการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตพลังงานที่องค์กรหรืออาคารซื้อมาใช้ เช่น:
ไฟฟ้าที่ซื้อจากการไฟฟ้าฯ
ไอน้ำหรือพลังงานความร้อนที่ซื้อจากแหล่งภายนอก
ตัวอย่าง: อาคารสำนักงานที่ใช้ไฟฟ้า 1 ล้านหน่วย/ปี จะมี Scope 2 ที่สัมพันธ์กับค่า Emission Factor ของการผลิตไฟฟ้าในประเทศนั้นๆ
✅ Scope 3: การปล่อยทางอ้อมอื่นๆ (Other Indirect Emissions)
เป็นการปล่อยคาร์บอนที่เกิดขึ้นในห่วงโซ่ธุรกิจ แต่ไม่ได้ควบคุมโดยตรง เช่น:
การเดินทางของพนักงาน (commute)
การขนส่งวัสดุ
การใช้วัสดุก่อสร้าง (Embodied Carbon)
การจัดการขยะ
การใช้งานของผู้เช่า (Tenant Emission)
ตัวอย่าง: อาคาร Mixed-use ที่มีผู้เช่าเป็นร้านอาหาร จะมี Scope 3 จากการใช้พลังงานของผู้เช่าเหล่านั้น
🏗️ Operation Carbon Reduction สำหรับงานบริหารอาคาร
หลังจากเข้าใจการคำนวณคาร์บอนแล้ว ต่อไปคือ “การลงมือ” ลดคาร์บอนอย่างเป็นระบบ โดยใช้หลัก 5 ขั้นตอนสำคัญ:
1. วัด (Measure)
ติดตั้งระบบ BMS/EMS เพื่อวัดการใช้พลังงานรายระบบ
ใช้ซอฟต์แวร์วิเคราะห์ Carbon Footprint เช่น CarbonCloud, Energy Star Portfolio Manager
ตรวจสอบสารทำความเย็นที่รั่วไหล พร้อมคำนวณ CO₂e
อาคารที่วัดได้ละเอียดจะวางแผนลดได้แม่นยำ
2. ตั้งเป้าหมาย (Set Targets)
ตั้งเป้าลดการใช้พลังงานต่อพื้นที่ (kWh/m²/year)
ตั้งเป้าลด GHG Emission per occupant หรือ per tenant
กำหนดปีเป้าหมาย Net Zero ที่ชัดเจน เช่น Net Zero Scope 1-2 ภายในปี 2035
3. ลด (Reduce)
หมวด | แนวทางลดคาร์บอน |
ระบบไฟฟ้า | เปลี่ยนเป็น LED, ติด motion sensor, ระบบ daylight control |
HVAC | ปรับชิลเลอร์ให้มี COP สูง, ล้างคอยล์สม่ำเสมอ, ตั้งเวลาเดินเครื่อง |
ลิฟต์ | ใช้ regenerative drive, ปรับเวลา peak load |
น้ำ | ใช้ reuse water เติม Cooling Tower, ติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำ |
พลังงานหมุนเวียน | ติดโซลาร์เซลล์, ใช้แหล่งพลังงานสะอาดจากภายนอก |
พฤติกรรมผู้ใช้ | สื่อสารและสร้างพฤติกรรมลดคาร์บอนร่วมกับผู้เช่า |
4. ชดเชย (Offset)
ซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการปลูกป่า, โรงไฟฟ้าชีวมวล
เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอน (Carbon Market)
ลงทุนในโครงการ Local Offsetting เช่น Solar Farm ชุมชน
5. รายงาน & พัฒนา (Report & Improve)
จัดทำรายงาน ESG หรือ Carbon Report ประจำปี
ใช้มาตรฐานการรายงาน เช่น TCFD, GRI, CDP
ตรวจสอบประสิทธิภาพต่อเนื่อง และอัปเกรดเทคโนโลยีตามความเหมาะสม
📈 ประโยชน์ของการทำ Operation Carbon Reduction
✨ เพิ่มมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ (Green Premium)
💰 ลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว
✅ ตอบโจทย์ ESG และกฎหมายใหม่
🏢 สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้เช่ากับเจ้าของ
🌏 สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม
💬 สรุปส่งท้าย
การลดคาร์บอนในอาคารไม่ใช่แค่การ “ทำให้เขียนรายงานได้” แต่คือการขับเคลื่อนให้อาคารกลายเป็น
“ผู้เล่นตัวจริง” ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างยั่งยืน ในฐานะผู้บริหารหรือผู้ดูแลอาคารสามารถเริ่มต้นได้ทันทีจากสิ่งเล็กๆ ที่วัดได้ และขยายสู่แผนปฏิบัติการที่ทรงพลัง
Operation Carbon Reduction คือการลงมือจริง เพื่อโลก เพื่ออาคาร และเพื่ออนาคตของธุรกิจ


