ออฟฟิศไม่ใช่แค่ “ที่ทำงาน” แต่คือ “เครื่องจักรขับเคลื่อนความสำเร็จ”
- Chakrapan Pawangkarat
- Sep 4
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
4 September 2025

ในอดีต…เรามองออฟฟิศเพียงแค่เป็น “สถานที่” ที่คนมานั่งทำงาน ตั้งโต๊ะ วางคอมพิวเตอร์ และกลับบ้านเมื่อหมดวัน แต่ในวันนี้ บทบาทของออฟฟิศได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้เป็นเพียง พื้นที่ อีกต่อไป แต่มันกลายเป็น กลยุทธ์ ที่องค์กรใช้เพื่อดึงดูดคนเก่ง รักษาพนักงานที่มีคุณค่า และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน
คำถามใหญ่ที่ผู้นำธุรกิจและผู้จัดการอาคารต้องถามตัวเองคือ:
“ออฟฟิศของเรากำลังทำให้คนอยากมา…หรือทำให้คนอยากไป?”
1. ออฟฟิศที่เป็นแม่เหล็กดึงดูดคนเก่ง (Talent Magnet)
การแข่งขันหาคนเก่งในยุคนี้รุนแรงพอ ๆ กับการแข่งขันหาลูกค้า องค์กรที่เข้าใจเรื่องนี้จะรู้ว่า ออฟฟิศคืออาวุธลับในการดึงดูดและรักษาคน
คนรุ่นใหม่เลือกที่ทำงานไม่ใช่แค่เพราะค่าตอบแทน แต่เพราะ “ประสบการณ์ที่พวกเขาจะได้รับในแต่ละวัน” พวกเขามองว่า:
สภาพแวดล้อมดีพอไหม?
มีพื้นที่ที่ให้ความสงบเมื่ออยากทำงานคนเดียวไหม?
มีบรรยากาศที่ช่วยให้เกิดแรงบันดาลใจและการร่วมมือกันหรือเปล่า?
ออฟฟิศสะท้อนความทันสมัย ความยั่งยืน และคุณค่าที่เขาอยากมีส่วนร่วมด้วยหรือไม่?
หากองค์กรละเลยสิ่งเหล่านี้ คนเก่งอาจหันไปเลือกที่อื่นแทน
ออฟฟิศที่ดีจึงไม่ใช่แค่ “ที่นั่ง” แต่คือ “ประสบการณ์” ที่ทำให้คนรู้สึกว่า ที่นี่คือที่ที่ฉันอยากอยู่ และอยากสร้างอนาคตไปด้วยกัน
2. สถานที่ที่เร่งประสิทธิภาพ (High-Performance Environment)
งานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า สภาพแวดล้อมส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการทำงาน เสียงรบกวนที่มากเกินไป แสงที่ไม่เหมาะสม หรือระบบปรับอากาศที่ไม่สบาย ล้วนบั่นทอนสมาธิและผลลัพธ์ของงานได้ทั้งสิ้น
องค์กรที่ต้องการ “ความเป็นเลิศ” ต้องลงทุนในสภาพแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาเพื่อ เร่งศักยภาพของทีม ไม่ว่าจะเป็น:
การใช้ data-driven design ออกแบบพื้นที่จากข้อมูลจริง เช่น พฤติกรรมการใช้พื้นที่ เวลา peak-time
การจัดโซนที่ยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนจากพื้นที่ทำงานเป็นพื้นที่ประชุมได้ภายในไม่กี่นาที
การผสาน เทคโนโลยีอัจฉริยะ เช่น ระบบปรับอากาศอัตโนมัติที่ตอบสนองต่อจำนวนคนในห้อง หรือเซนเซอร์วัดคุณภาพอากาศที่เชื่อมกับระบบ BMS
เพราะออฟฟิศที่ดีไม่ควรเพียง “รองรับการทำงาน” แต่ต้อง “เร่งพลังการทำงาน”
3. ออฟฟิศที่สร้างวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ (Social & Cultural Hub)
ช่วงโควิด-19 เราเรียนรู้ว่าการทำงานจากที่บ้านทำได้จริง แต่สิ่งที่หายไปคือ วัฒนธรรมองค์กร และ ความสัมพันธ์ระหว่างคน
เมื่อคนกลับเข้าสู่ออฟฟิศ องค์กรจึงไม่สามารถบอกว่า “มาเพราะงาน” อย่างเดียวได้อีกต่อไป พนักงานอยากกลับมาเพื่อ:
เจอเพื่อนร่วมงาน พูดคุย หัวเราะ
มีพื้นที่สร้างแรงบันดาลใจและ brainstorm ร่วมกัน
ได้เรียนรู้จากการสังเกตและปฏิสัมพันธ์ในชีวิตจริง
นี่คือเหตุผลที่การออกแบบออฟฟิศต้องมองเกินกว่าโต๊ะและเก้าอี้ ต้องคิดถึง “จุดเชื่อม” ที่ทำให้คนได้พบปะ ตั้งแต่พื้นที่รับรองที่ชวนให้นั่งคุย มุมกาแฟที่เป็น informal meeting space ไปจนถึงพื้นที่กิจกรรมที่ช่วยให้ทีมสร้างความผูกพัน
ออฟฟิศในวันนี้จึงเป็น “หัวใจวัฒนธรรม” ที่ทำให้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ใหญ่กว่าแค่ตัวเอง
4. ออฟฟิศเพื่อโลกและอนาคต (Sustainable Workplace)
ความยั่งยืนไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่มันคือ ข้อกำหนดใหม่ ของทั้งตลาดและสังคม ออฟฟิศที่ไม่ยั่งยืนอาจกลายเป็น “สินทรัพย์ด้อยค่า” ในอนาคต
การออกแบบสำนักงานจึงต้อง:
ใช้ วัสดุหมุนเวียน (circular materials) เพื่อลดของเสีย
ออกแบบแบบ adaptive reuse เพื่อให้พื้นที่สามารถดัดแปลงและใช้ซ้ำได้
ลดการใช้พลังงานและการปล่อยคาร์บอนด้วยเทคโนโลยี smart building
เชื่อมโยงความยั่งยืนเข้ากับ แบรนด์องค์กร ทำให้ทั้งพนักงานและลูกค้าภูมิใจที่มีส่วนร่วม
สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงการ “ลดต้นทุนพลังงาน” แต่คือการสร้าง คุณค่าทางสังคมและการเงิน ไปพร้อมกัน
5. Beyond the Foundation: ประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อ
องค์กรชั้นนำบางแห่งเริ่มพูดถึงแนวคิด “Street to Seat Experience” — การออกแบบให้พนักงานรู้สึกประทับใจตั้งแต่ก้าวแรกเข้ามาในอาคาร จนถึงนั่งลงทำงานที่โต๊ะ
การออกแบบโถงต้อนรับที่สร้างแรงบันดาลใจ
การใช้เทคโนโลยี Touchless และ Mobile Access ที่ทำให้การเข้าพื้นที่ไร้รอยต่อ
การจัด Lighting, Acoustics และ Furniture ให้ตอบโจทย์ความหลากหลายของการทำงาน
นี่ไม่ใช่เรื่องฟุ่มเฟือย แต่คือการสร้าง “Journey” ที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าทุกอย่างถูกคิดมาอย่างใส่ใจ
บทสรุป: ออฟฟิศในฐานะ “กลยุทธ์องค์กร”
เมื่อเราหยุดคิดว่าออฟฟิศคือเพียงแค่ “ต้นทุน” และเริ่มมองมันเป็น “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” เราจะเห็นคุณค่าที่แท้จริง:
มันช่วยดึงดูดและรักษาคนเก่ง
มันเร่งประสิทธิภาพการทำงาน
มันสร้างวัฒนธรรมและความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
มันสะท้อนคุณค่าขององค์กรต่อโลกและสังคม
ออฟฟิศไม่ใช่เพียง “ที่ทำงาน” อีกต่อไป แต่มันคือ “เครื่องจักรขับเคลื่อนความสำเร็จ” ที่ทำให้คน ธุรกิจ และโลก เดินไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียง


