top of page

ใช้ระบบ VAV ให้คุ้มค่า



จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์, วก.813

นายกสมาคมวิศวกรรมปรับอากาศแห่งประเทศไทย (2560-2561)

หัวหน้าสายงานธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์, JLL



1. ทำไมจึงเลือกใช้ระบบ VAV


ระบบจ่ายลมแปรเปลี่ยน (Variable Air Volume, VAV) เป็นระบบที่นำมาใช้ในพื้นปรับอากาศที่จ่ายลมจากเครื่องปรับอากาศขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่มากและมีภาระการทำความเย็นไม่สม่ำเสมอตลอดทั่วทั้งพื้นที่ ประเภทการใช้งานที่เข้าข่ายนี้ที่พบคือ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ระบบ VAV สามารถนำมาแก้ปัญหาการควบคุมอุณหภูมิที่ไม่สม่ำเสมอโดยการแบ่งโซนการควบคุมอุณหภูมิเป็นโซนย่อยๆที่เล็กลง และปรับอุณหภูมิโดยการแปรเปลี่ยนอัตราการจ่ายลม


ผลได้ตามมาที่สำคัญ คือ การประหยัดพลังงานเนื่องจากการปรับอัตราการจ่ายลมให้ต่ำลงเมื่อภาระการทำความเย็นลดต่ำลง ซึ่งแตกต่างจากระบบดั้งเดิมที่มีจ่ายลมอัตราคงที่ (Constant Air Volume, CAV) ไม่ว่าภาระความเย็นจะมากหรือจะน้อย






2. หลักการทำงานของระบบ VAV


ส่วนที่แตกต่างของระบบ VAV จากระบบ CAV คือ

  1. มีอุปกรณ์ปรับความเร็วรอบที่พัดลม (Variable Speed Drive, VSD) เพื่อปรับอัตราการจ่ายลม

  2. มีกล่อง VAV ปรับอัตราจ่ายลมปลายทา






หลักการทำงานคือ เมื่อในพื้นที่ปรับอากาศมีอุณหภูมิตามที่ต้องการแล้ว กล่อง VAV จะทำการปรับลดอัตราการจ่ายลมเข้าพื้นที่ปรับอากาศ โดยการหรี่แดมเปอร์ที่อยู่ภายในกล่อง VAV


เมื่อมีการปรับลดอัตราการจ่ายลมที่ปลายทาง ก็จะเกิดการอั้นลมในท่อลมส่งผลให้ความดันในท่อลมสูงขึ้น ตัววัดค่าความดันในท่อลมก็จะส่งสัญญาณไปสั่งให้พัดลมจ่ายลมน้อยลง โดยการปรับลดความเร็วรอบของพัดลม การปรับลดความเร็วรอบของพัดลมนอกจากจะลดอัตราการจ่ายลมแล้ว ยังช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานอย่างมากตามกฎของพัดลม คือ เมื่อต้องการอัตราการจ่ายลม 50% จะลดความเร็วรอบเหลือ 50% แต่จะใช้พลังงานเพียง 12.5% เท่านั้น (หมายเหตุ : ในสภาพการทำงานจริงที่มีการกำหนดค่าความดันขั้นต่ำไว้ จะลดความเร็วรอบเหลือมากกว่า 50% และใช้พลังงานมากกว่า 12.5% อยู่บ้าง)


3. ใช้ VAV ให้เกิดความคุ้มค่าที่สุด


3.1 เตรียมการบำรุงรักษา

ระบบ VAV มีกล่อง VAV เป็นหัวใจสำคัญในการทำงาน ภายในกล่อง VAV ประกอบด้วยตัวตรวจวัด (Sensor), ระบบประมวลผล (ซึ่งก็เหมือนคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง), ตัวขับ (Actuator) แดมเปอร์เพื่อปรับปริมาณลม จะเห็นได้ว่า มีทั้งอุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์และอุปกรณ์เครื่องกล ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต้องการการบำรุงรักษาอย่างต่อเนื่อง หากตัวตรวจวัดวัดค่าผิด ระบบประมวลผลทำงานผิดพลาด หรือ ตัวขับไม่ทำงาน เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็จะทำให้การควบคุมอุณหภูมิและอัตราการจ่ายลมผิดพลาดไปหมด ดังนั้นกล่อง VAV จึงต้องได้รับการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ แต่หลายอาคารที่ติดตั้งไปแล้ว เจ้าของอาคารและส่วนงานวิศวกรรมบริหารอาคารไม่ทราบความสำคัญและจัดสรรงบประมาณ ทำให้กล่อง VAV ถูกใช้งานโดยไม่มีการตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำ ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมอุณหภูมิและอัตราการจ่ายลมได้ตามต้องการ ทำให้เกิดความล้มเหลวในวัตถุประสงค์สำคัญของระบบ VAV คือ ทั้งการควบคุมอุณหภูมิและการประหยัดพลังงาน


ผู้ออกแบบ ผู้ติดตั้ง และผู้ผลิต ควรมีข้อแนะนำที่ชัดเจนว่ากล่อง VAV ต้องได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษาเป็นประจำอย่างไรบ้าง พร้อมคำนวณค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษานี้ให้เจ้าของอาคารตั้งแต่ในขั้นเสนอแนวคิดในการนำระบบ VAV มาใช้ เพื่อให้ทุกฝ่ายรับทราบและจัดเตรียมงบประมาณอย่างถูกต้อง นอกจากนี้ ในการส่งมอบงานให้เจ้าของงานควรมีเอกสารแนะนำจากผู้ผลิตในเรื่องการตรวจสอบและบำรุงรักษาที่ชัดเจน และในระหว่างระยะเวลารับประกันผู้ผลิตควรเข้ามาตรวจสอบและบำรุงรักษาตามที่แนะนำ เพื่อเป็นตัวอย่างแนวทางในการตรวจสอบและบำรุงรักษาภายหลังระยะเวลารับประกันต่อไป


3.2 เตรียมช่องเปิดบริการ

ถ้าไม่มีช่องเปิดบริการก็ไม่สามารถบำรุงรักษาได้ ช่างต้องเข้าถึงกล่อง VAV เพื่อตรวจสอบและบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ หากเข้าถึงไม่ได้ กล่อง VAV ก็จะไม่ได้รับการตรวจสอบและบำรุงรักษา มีการติดตั้งกล่อง VAV จำนวนมากที่เข้าถึงไม่ได้ จึงก่อให้เกิดปัญหาตามมามากมาย เช่น ติดตั้งอยู่เหนือฝ้าเพดานที่สูงมาก (ต้องตั้งบันไดสูงหรือต้องตั้งนั่งร้าน), ติดตั้งอยู่ชิดกับท่อลมหรืออุปกรณ์อื่นทำให้เข้าถึงส่วนสำคัญไม่ได้, ติดตั้งอยู่เหนือฝ้าเพดานฉาบเรียบและไม่มีช่องเปิดบริการในตำแหน่งที่เปิดแล้วเข้าถึงได้ ข้อหลังนี้พบมากที่สุดเพราะงานตกแต่งภายในทำไปโดยไม่ทราบความจำเป็นและความสำคัญของช่องเปิดบริการ เราจึงพบปัญหาเรื่องช่องเปิดบริการมาก เช่น ช่องเปิดเล็กเกินไป, ช่องเปิดอยู่ห่างจากกล่อง VAV มากเกินไป, ช่องเปิดอยู่คนละด้านกับแผงวงจรควบคุมและ Actuator, ช่องเปิดอยู่ต่ำกว่ากล่อง VAV มาก (เช่น กล่อง VAV ติดตั้งชิดกับท้องพื้นแต่ระดับฝ้าเพดานต่ำกว่าระดับท้องพื้นมาก) และไม่มี Catwalk เข้าไปหากล่อง VAV


ผู้ออกแบบควรระบุในแบบว่ากล่อง VAV ทุกกล่องต้องมีช่องเปิดบริการที่มีขนาดเพียงพอและเข้าถึงส่วนสำคัญของกล่องได้เพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตระหนักถึงความสำคัญ วิศวกรติดตั้งระบบปรับอากาศหรือวิศวกรบริหารอาคารต้องตรวจสอบแบบตกแต่งอาคารและกำหนดให้มีช่องเปิดบริการที่เหมาะสมและเพียงพอ และต้องยืนยันไม่อนุญาตให้มีฝ้าฉาบเรียบโดยไม่มีช่องเปิดบริการ


3.3. ป้องกันปัญหาอากาศนิ่งและรู้สึกอึดอัด

ปัญหาที่ผู้ใช้อาคารที่ใช้ VAV ร้องเรียนบ่อยครั้งคือ รู้สึกอึดอัด อากาศนิ่ง โดยมักจะเกิดกับห้องที่อยู่ภายในอาคาร ไม่ติดกับผนังกระจกด้านนอก ซึ่งเป็นห้องที่มีภาระการทำความเย็นน้อย เมื่อทำอุณหภูมิได้แล้ว กล่อง VAV จึงปรับลดอัตราการจ่ายลมลงจนสุด ซึ่งวิศวกรออกแบบมักกำหนดไว้ 10-30% ของอัตราการจ่ายลมสูงสุด ทำให้มีอาการไหลเวียนน้อย มีความเร็วกระแสลมในห้องต่ำ ระบายกลิ่นได้ช้า อากาศนิ่ง ทำให้คนในห้องรู้สึกอึดอัด


ผู้ออกแบบควรเลือกใช้หัวจ่ายลมที่สามารถเหนี่ยวนำกระแสลมได้สูง (ทั้งๆที่จ่ายลมน้อย) หรือใช้กล่อง VAV ชนิดมีพัดลมในตัว (Fan-Powered VAV) ซึ่งจะมีพัดลมในตัวเพื่อช่วยเพิ่มอัตราการหมุนเวียนในห้อง สำหรับระบบที่ติดตั้งไปแล้วการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าคือการปรับ Minimum Airflow ให้สูงขึ้น แต่การใช้วิธีนี้จะทำให้ในห้องมีอุณหภูมิต่ำเกินไปหรือหนาวเกินไป และถ้าใช้กับกล่องจำนวนมากก็จะทำให้สูญเสียพลังงานโดยไม่จำเป็นอย่างมาก



3.4 ปรับจูนระบบให้ประหยัดพลังงาน

ระบบ VAV จะประหยัดพลังงานได้ก็เมื่อมีการปรับลดการจ่ายลมที่พัดลม ปัญหาที่พบบ่อยคือ (1) มีการไปตั้งค่าความเร็วรอบ VSD ของพัดลมคงที่เอาไว้ ไม่ปล่อยให้ทำงานอัตโนมัติ ทำให้ VSD ไม่ปรับลดรอบ ก็จะไม่เกิดการประหยัดพลังงาน (2) มีการตั้งค่าความดันในท่อลมไว้สูงเกินจำเป็น


แนวทางป้องกัน คือ (1) อย่าตั้งค่าความเร็วรอบคงที่ ต้องปล่อยให้ระบบทำงานอัตโนมัติ เมื่อต้องการลมจ่ายน้อยลง กล่อง VAV จะหรี่ลม จะเกิดการอั้นลมในระบบท่อ ความดันในท่อลมจะสูงขึ้น VSD ก็จะทำหน้าที่ปรับลดความเร็วรอบพัดลมลงเพื่อให้ได้ความดันตามที่ตั้งไว้ (2) อย่าตั้งค่าความดัน (Set point) ในท่อลมสูงเกินไป ปกติแล้วตั้งค่าให้มีความดันเพียงพอจากตำแหน่งที่ติดตั้ง Pressure Sensor ไปจนถึงหัวจ่ายลมที่ไกลที่สุด ซึ่งควรมีค่าประมาณ 0.5 นิ้วน้ำเท่านั้น


3.5 ตรวจสอบเข้มงวดในงานเดินสายสัญญาณควบคุมและสายสื่อสาร

หากติดตั้งสายสัญญาณควบคุมและสายสื่อสารขอบระบบควบคุมไม่ดีตั้งแต่แรก จะทำให้ไม่ได้รับสัญญาณจาก Sensor อย่างถูกต้อง ทำให้การควบคุมความดันในท่อลมผิดพลาด และนำไปสู่การตั้งความเร็วรอบของพัดลมคงที นอกจากสายสัญญาณแล้วสายสื่อสารระหว่างกล่อง VAV กับห้องควบคุมอาคารก็มักมีปัญหา ทำให้ไม่สามารถสั่งตั้งอุณหภูมิหรืออ่านค่าการทำงานของกล่อง VAV ได้ 


การควบคุมการติดตั้งอย่างเข้มงวดก่อนการปิดงานฝ้าเพดานจึงมีความจำเป็นอย่างมาก หากเกิดความผิดพลาดแล้วการแก้ไขภายหลังทำได้ยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ามาก


3.6 เลือกใช้ Sensor ที่มี Range ที่เหมาะสม

Sensor วัดความดันในระบบท่อลม ซึ่งมีการวัดความดันจริงประมาณ 0.5 นิ้วน้ำ แต่ไปเลือกติดตั้ง Sensor ที่มี Range ใช้งานกว้างกว่ามาก เช่น ไปเลือกใช้ Sensor ที่มี Range 0-10 นิ้วน้ำ เวลาใช้งานจริงก็จะวัดค่าได้ไม่แม่นยำ ทำให้การควบคุมความดันลมในระบบท่อลมทำได้ไม่ได้ ในทางใช้งานจริงจึงอาจเกิดการบายพาสการควบคุมโดยการไปกำหนดความเร็วรอบของพัดลมให้คงทีเสียเลย ส่งผลให้ระบบไม่เกิดการประหยัดพลังงานอย่างที่ต้องการ


3.7 ติดตั้ง Pressure Sensor ในตำแหน่งที่ถูกต้อง

ตำแหน่งติดตั้ง Pressure Sensor มีความสำคัญมากในการวัดค่าให้ได้ถูกต้อง คำแนะนำโดยทั่วไปคือ ติดตั้งที่ระยะ 75% ของความยาวท่อทั้งหมด จุดติดตั้งควรเป็นจุดที่เข้าถึงได้ มีช่องเปิดบริการ เพราะต้องมีการตรวจสอบบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้แล้วควรติดตั้งในจุดที่ไม่มีกระแสลมปั่นป่วน เช่น ใกล้กับจุดท่อหักเลี้ยว จุดแยกท่อลม จุดที่ใกล้กับแดมเปอร์ เป็นต้น


3.8 ตั้งค่าควบคุมคุมของ Control Loop อย่างเหมาะสม

ความดันในระบบท่อลมมีค่าแกว่งตัวมากโดยธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องควบคุมให้มีความแม่นยำมากนัก เช่น ถ้าเราต้องการตั้งค่าความดันในระบบท่อลม 0.5 นิ้วน้ำ ความดันแกว่งไปมาระหว่าง 0.4-0.6 นิ้วน้ำเป็นเรื่องปกติเพราะธรรมชาติของกระแสลมในท่อลม ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องพยายามตั้งค่าการควบคุมให้มีความละเอียดกว่านั้น เช่น การพยายามตั้งค่าให้การควบคุมอยู่ในช่วง 0.5 +/-0.001 (0.499-0.5001) ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร 


การตั้งค่าควบคุมของ Control Loop สำหรับวงจรควบคุมความดันนั้น อาจใช้เพียง PI ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็น PID เพราะไม่มีความจำเป็นมากนัก (ความดันจะแกว่งไปมาบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องเข้าสู่ Set point เป๊ะๆ) และการตั้งค่า P (Proportional Band) ในช่วง 0.1-0.2 นิ้วน้ำก็เพียงพอ ไม่จำเป็นต้องต่ำกว่านั้น เพราะอาจเกิดการ Hunting หรือแกว่งค่าออกนอกช่วง Proportional Band ไปแบบไม่สามารถควบคุมได้


3.9 ติดตั้งกล่อง VAV แยกตามโซนที่มีโหลดต่างกัน

กล่อง VAV หนึ่งกล่องถือเป็นหนึ่งโซนในการควบคุมอุณหภูมิ โหลดในโซนเดียวกันควรมีลักษณะเหมือนกัน เช่น อยู่ในทิศรับแสงอาทิตย์เดียวกัน มีความหนาแน่นคนแบบเดียวกัน มิฉะนั้นแล้วจะเกิดปัญหาในการควบคุมอุณหภูมิ เช่น หากใช้กล่อง VAV เดียว จ่ายลมห้องประชุมกับห้องผู้บริหาร โดยติดเทอร์โมสตัทไว้ที่ห้องผู้บริหาร เมื่อจำนวนคนใช้งานห้องประชุมเปลี่ยนแปลงมากๆก็จะร้อนหรือหนาวในห้องประชุม เพราะในห้องประชุมลักษณะโหลดไม่เหมือนห้องผู้บริหารและไม่มีเทอร์โมสตัทวัดค่าอุณหภูมิ หรือใช้กล่อง VAV เดียวจ่ายห้องที่ติดกับผนังกระจกรับแสงแดด กับห้องภายในอาคารที่ไม่มีกระจกรับแสงแดดเลย โดยติดเทอร์โมสตัทไว้ที่ห้องติดกระจก เมื่อโหลดจากแสงแดดเปลี่ยนแปลงก็จะมีการปรับอัตราการจ่ายลม ห้องที่อยู่ภายในอาคารซึ่งโหลดไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยทำให้อุณหภูมิร้อนหนาวตามโหลดแสงแดด


ดังนั้นจึงควรแบ่งโซนติดตั้งกล่อง VAV อย่างน้อยแบ่งเป็นโซนริมกระจกกับโซนภายในอาคาร และควรแบ่งโซนย่อยๆไม่เกินโซนละประมาณ 50 ตารางเมตร หากมีห้องที่มีลักษณะการใช้งานต่างกันชัดเจนไม่ควรใช้กล่อง VAV ร่วมกัน


3.10 เลือกมอเตอร์พัดลมที่ลดความเร็วรอบแบบไม่จำกัด

ระบบ VAV จะประหยัดพลังงานได้เมื่อมีการลดอัตราการจ่ายลมที่พัดลม มอเตอร์พัดลมแบบปกติอาจจะสามารถลดความเร็วลมลงเหลือต่ำสุด 50-70% เพราะไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ใช้แบบลดความเร็วรอบอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นถึงแม้ว่าโหลดจริงจะน้อยมาก เช่น ลดต่ำกว่า 50% ระบบควบคุมก็ไม่สามารถปรับลดความเร็วลงไปได้


เพื่อให้ลดความเร็วลงไปได้ตามต้องการ จึงควรติดตั้งมอเตอร์พัดลมชนิดที่สามารถใช้กับการปรับลดความเร็วรอบได้ ซึ่งจะทำให้ประหยัดพลังงานเพิ่มได้อีกมาก ในอาคารสร้างใหม่ควรพิจารณาใช้พัดลมที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น EC Fan เป็นต้น



4. สรุป


สำหรับพื้นที่ปรับอากาศขนาดใหญ่ที่ต้องการเป็นระบบ All-Air หรือเป็นระบบที่ไม่มีท่อน้ำในพื้นที่ปรับอากาศเลย การใช้ระบบ VAV เป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่า CAV มาก เพราะ ควบคุมอุณหภูมิได้เป็นโซนเล็กๆและสามารถประหยัดพลังงานในการส่งลมได้มาก


อาคารสมรรถนะสูง (High Performance Building) และอาคารเขียว (Green Building) จึงมีเกณฑ์พื้นฐานเป็นระบบ VAV อาคารที่ต้องการได้รับรางวัลหรือการรับรองต้องออกแบบให้ประหยัดกว่าเกณฑ์ ดังนั้นการออกแบบอาคารสำนักงานขนาดใหญ่จึงนิยมใช้ระบบ VAV เพื่อเป็นแนวทางในการควบคุมการใช้พลังงาน


เมื่อตัดสินใจใช้ระบบ VAV แล้ว ก็ควรใช้ให้เกิดความคุ้มค่าสูงที่สุด มีอาคารจำนวนมากที่ติดตั้งระบบ VAV แต่ไม่ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ คือ ควบคุมอุณหภูมิไม่ดีและประหยัดพลังงานไม่ดี จากประสบการณ์พบว่ามักมีสาเหตุตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ป้องกันได้ทั้งสิ้น เราจึงควรเรียนรู้และช่วยกันป้องกันปัญหาต่างๆ เพื่อให้การลงทุนใช้ VAV เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด 



ข้อมูลเพิ่มเติม

  1. Wikipedia- Variable air volume ; https://en.m.wikipedia.org/wiki/Variable_air_volume

  2. The Engineering Mindset – HVAC VAV System; https://youtu.be/HBmOyeWtpHg

HPAC - Specifications for High-Efficiency VAV Systems; https://www.hpac.com/iaq-ventilation/specifications-high-efficiency-vav-systems

Comments


Chakrapan Pawangkarat

  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
bottom of page