10 Global Trends ที่จะเปลี่ยนโลกงานบริหารอาคารในปี 2026
- Chakrapan Pawangkarat
- 3 days ago
- 2 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
10 December 2025

อ้างอิงจากบทความ Global Trends Shaping Property Management in 2026: The New Operating System for Real Estate: https://www.jack-journal.com/post/global-trends-shaping-property-management-in-2026-the-new-operating-system-for-real-estate
อุตสาหกรรมบริหารอาคารทั่วโลกกำลังเข้าสู่ยุคที่ “เปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมด” ไม่ใช่แค่เปลี่ยนคู่มือหรือเพิ่มเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนนิยามของคำว่า “อาคาร” และ “การบริหารอาคาร” ไปโดยสิ้นเชิง
จากที่เคยเป็นงานซ่อมบำรุง–เก็บค่าเช่า กลายเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะธุรกิจ การอ่านข้อมูล ประสบการณ์ผู้ใช้อาคาร และความยั่งยืนในระดับกลยุทธ์ ปี 2026 จึงเป็นปีแห่งการเปลี่ยนระบบปฏิบัติการ (Operating System) ของทั้งอุตสาหกรรมอสังหาฯ
1) ดิจิทัลและการเงิน: อาคารกำลังถูก “ปลดล็อก” เป็นสินค้าการลงทุนระดับโลก
เทรนด์แรกเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมอสังหา นั่นคือ Tokenization — การแปลงอาคารให้ซื้อขายได้เหมือนหุ้น
สิ่งนี้ทำให้โครงสร้างความเป็นเจ้าของเปลี่ยนไปทั้งหมด เช่น
อาคารหนึ่งหลังอาจมีนักลงทุนจากหลายประเทศร่วมเป็นเจ้าของ
นักลงทุนสามารถซื้อขายส่วนแบ่งของอาคารได้แบบเรียลไทม์
เจ้าของอาคารไม่ใช่ผู้ถือข้อมูลคนเดียวอีกต่อไป
ผู้จัดการอาคารจึงต้องส่งมอบข้อมูล อย่างโปร่งใส แม่นยำ และตรวจสอบได้ 24 ชั่วโมง ตั้งแต่ข้อมูลการใช้พลังงาน ผลตอบแทน ค่าใช้จ่าย ไปจนถึงประสิทธิภาพระบบอาคาร
Cybersecurity = มูลค่าอาคาร
เพราะเมื่อข้อมูลคือสินทรัพย์ การถูกโจมตีทางไซเบอร์จะกระทบทั้ง
ความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร
ความต่อเนื่องของธุรกิจ
มูลค่าตลาดของโทเคนที่ผูกกับอาคาร
ระบบ OpTech (ลิฟต์, แอร์, ระบบไฟ, Access Control) ซึ่งเคยเป็นระบบปิด ถูกเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ทำให้ผู้จัดการอาคารยุคใหม่ต้องเข้าใจ “ความเสี่ยงดิจิทัล” พอ ๆ กับงานซ่อมบำรุง
นี่คือครั้งแรกที่ “IT และ FM” กลายเป็นทีมเดียวกันแบบสมบูรณ์
2) ESG + Wellness: พื้นที่ที่ดี ต้องพิสูจน์ด้วยข้อมูล ไม่ใช่คำโฆษณา
ESG ไม่ใช่เรื่องเทรนด์ แต่กลายเป็น มาตรวัดมูลค่าทรัพย์สิน ในหลายตลาดทั่วโลก อาคารที่ไม่มีการรายงาน ESG ถูกกดราคาทันที
สิ่งที่เห็นชัดคือ
Green Lease กลายเป็นเรื่องปกติ
ผู้เช่าต้องส่งข้อมูลพลังงานร่วมกับอาคาร
นักลงทุนใช้คาร์บอนฟุตพรินต์เป็นตัวตัดสินใจลงทุน
Wellness = สิ่งจำเป็น
หลังยุคโควิด ผู้ใช้อาคารให้ความสำคัญกับ
คุณภาพอากาศ (CO₂, PM2.5, VOC)
ระบบแสงสว่างที่ดีต่อสายตาและการนอน
ความเงียบ–เสียงรบกวน
พื้นที่สีเขียวและธรรมชาติ
อาคารที่สามารถแสดงข้อมูลสุขภาพแบบ Real-Time เช่น “วันนี้คุณภาพอากาศอยู่ที่ระดับดีมาก อัตราการระบายอากาศ 12 L/s/person” จะได้เปรียบด้านการตลาดสูงมาก
นี่คือครั้งแรกที่ “สุขภาพ” กลายเป็นปัจจัยด้านธุรกิจโดยตรง
3) Space-as-a-Service: ผู้เช่าไม่ได้เช่าพื้นที่ แต่เช่า ‘ประสบการณ์’
อาคารไม่ได้แข่งขันกันด้วยพื้นที่อีกต่อไป แต่แข่งขันด้วย “ประสบการณ์ผู้ใช้อาคาร (User Experience)”
Space-as-a-Service ทำให้อาคารต้องมีความยืดหยุ่นสูง เช่น
เช่ารายเดือน
เช่าพื้นที่ใช้ร่วมกัน
บริการ IoT
ระบบจองห้องประชุมอัตโนมัติ
บริการห้องประชุม / ฟิตเนส / เลานจ์
นี่ทำให้บทบาทผู้จัดการอาคารเปลี่ยนจาก “ผู้ดูแล” เป็นCurator — คนออกแบบประสบการณ์พื้นที่
AI ทำให้บริการเฉพาะบุคคลเป็นมาตรฐาน
เช่น
เข้ามาในอาคาร ระบบตั้งแอร์เป็นอุณหภูมิที่คุณชอบ
ลิฟต์รู้ว่าคุณมักขึ้นชั้นไหน และจัดลำดับลิฟต์ให้
ระบบแจ้งเตือนเวลาเหมาะสมในการรับพัสดุ
ระบบแนะนำบริการในอาคารตามพฤติกรรมของคุณ
ผู้อยู่อาศัยยิ่งรู้สึกว่า “อาคารเข้าใจฉัน” → ยิ่งอยู่นานขึ้น
4) ทีมงานอาคารยุคใหม่: ต้องเป็นคนที่เข้าใจเทคโนโลยี + บริหารประสบการณ์ + วิเคราะห์ข้อมูล
ผู้จัดการอาคารในปี 2026 ต้องมี 3 ทักษะหลัก:
ทักษะเทคนิค (ระบบอาคาร)
ทักษะข้อมูล (Data Analytics / AI Tools)
ทักษะมนุษย์ (บริการ / สื่อสาร / สร้างความสัมพันธ์)
นี่คือครั้งแรกที่งานบริหารอาคารกลายเป็นอาชีพที่ต้อง “คิดเชิงกลยุทธ์” อย่างแท้จริง
AI Co-Pilot = ทีมงานคนใหม่
ตัวอย่างการใช้งาน
ขอให้ AI ประเมินราคาค่าเช่าที่เหมาะสม
ให้ AI คำนวณ CapEx ระยะ 5 ปี
ให้ AI วิเคราะห์เสียงร้องเรียนเพื่อลดปัญหา
ให้ AI วางตารางซ่อมบำรุงตามข้อมูลการใช้งานจริง
หุ่นยนต์เข้ามารับงานส่วนที่ซ้ำซ้อน
หุ่นยนต์ส่งของ
หุ่นยนต์ทำความสะอาด
หุ่นยนต์ตรวจตราความปลอดภัย
ระบบจัดการขยะอัตโนมัติ
ทีมบริการในอาคารจะเป็น “Human + Machine Team”
5) Circular Building: อาคารที่ผลิตพลังงานเอง ใช้น้ำซ้ำเอง และลดขยะได้จริง
อาคารยุคใหม่มองตนเองเป็น “ระบบนิเวศขนาดเล็ก” ไม่ใช่ผู้บริโภคพลังงานอย่างเดียว
ตัวอย่างเทคโนโลยีที่เริ่มใช้งานจริง
แผงโซลาร์เซลล์บนผนังอาคาร
หน้าต่างที่ผลิตพลังงาน
ระบบเก็บพลังงานในแบตเตอรี่อาคาร
ระบบนำน้ำกลับมาใช้ซ้ำ
ฟาร์มผักแนวตั้งบนอาคาร
ระบบคัดแยกขยะอัตโนมัติ
แนวคิดนี้ตอบโจทย์ทั้ง
ค่าใช้จ่ายที่ลดลง
ภาพลักษณ์ที่ดี
กฎระเบียบสิ่งแวดล้อมที่เริ่มเข้มข้นมากขึ้นทั่วโลก
6) Adaptive Reuse: เมื่ออาคารเก่าไม่ตอบโจทย์ ต้องแปลงเป็นสิ่งใหม่
อาคารออฟฟิศที่มีอัตราใช้ต่ำกำลังถูกแปลงเป็น
ที่พักอาศัย (Residential Conversion)
อาคารแบบ Hybrid / Mixed-use
คลินิกสุขภาพ
พื้นที่ logistics สำหรับ Last-mile Delivery
ห้องแลบวิจัย
การแปลงอาคารไม่ใช่แค่เรื่องก่อสร้าง แต่เป็นการวางกลยุทธ์ใหม่ของสินทรัพย์ (Asset Strategy)
ผู้จัดการอาคารต้องมีบทบาทตั้งแต่
วิเคราะห์ความเป็นไปได้
ทำงานร่วมกับผู้ออกแบบ
กำหนดรูปแบบการบริการ
ปรับโมเดลรายได้ใหม่ให้เหมาะสม
7) Data Intelligence: ข้อมูลทำให้อาคาร “รู้อนาคต” ล่วงหน้า
นี่คือการเปลี่ยนจาก
ทำงานเมื่อเกิดปัญหา → เป็น
ทำงานก่อนเกิดปัญหา
Predictive Maintenance
ระบบ AI จะคาดการณ์ได้ว่า
อุปกรณ์ไหนกำลังจะพัง
อุปกรณ์ไหนใช้พลังงานสูงผิดปกติ
จุดไหนของอาคารเสี่ยงเกิดปัญหา
Digital Twin
อาคารสามารถจำลองข้อมูลเสมือนจริง เช่น
ถ้าเพิ่มผู้เช่าอีก 20% ลิฟต์พอไหม?
ถ้าปรับปรุงพื้นที่ การระบายอากาศเปลี่ยนอย่างไร?
ถ้าปิดพื้นที่บางส่วน จะประหยัดพลังงานเท่าไร?
นี่ทำให้งานบริหารอาคารเปลี่ยนจาก “เดา” → “ตัดสินใจด้วยข้อมูล”
8) อาคารในฐานะศูนย์กลางชุมชน (Community Hub)
ผู้ใช้อาคารไม่ต้องการแค่พื้นที่ทำงาน แต่ต้องการ “สถานที่ที่มีชีวิตและผู้คน”ผู้จัดการอาคารต้องสร้างกิจกรรมและประสบการณ์ เช่น
ตลาดนัดประจำอาคาร
คลาสโยคะ / มินิคอนเสิร์ต
กิจกรรม Networking
การสนับสนุนร้านค้าในท้องถิ่น
อาคารที่ “อบอุ่น” และ “มีชีวิต” จะทำให้ผู้ใช้อาคารรู้สึกเป็นเจ้าของ → เพิ่ม retention rate
9) RegTech: เทคโนโลยีที่ป้องกันความเสี่ยงด้านกฎหมายแบบอัตโนมัติ
งานด้าน compliance จะซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ เช่น
ESG Reporting
PDPA / GDPR
ความปลอดภัยอาคาร
สิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เช่า
RegTech ช่วยลดความเสี่ยง เช่น
เตือนกำหนดตรวจสอบอุปกรณ์
ออกเอกสารอัตโนมัติ
ตรวจจับความผิดปกติในงานตรวจสอบ
บันทึกข้อมูลเหตุการณ์ทั้งหมดแบบ audit trail
ช่วยให้ผู้จัดการอาคาร “หลุดพ้น” จากงานเอกสารและความเสี่ยงทางกฎหมาย
10) Modular + Design for Deconstruction: อาคารที่ต่อเติมง่าย ถอดเปลี่ยนง่าย และรีไซเคิลได้
อาคารจะถูกสร้างให้ “แยกส่วนได้” เช่น
ผนังถอดออกได้
พื้นที่ปรับรูปแบบง่าย
ใช้วัสดุที่นำกลับมาใช้ซ้ำ
โครงสร้างออกแบบให้ถอดได้ไม่ใช่ทุบ
เป็นแนวคิดใหม่ที่ช่วย
ลดการรื้อถอน
ลดขยะก่อสร้าง
ปรับตัวตามตลาดได้เร็ว
ลดต้นทุนปรับปรุงในระยะยาว
อาคารจะมี “วงจรชีวิตแบบยืดหยุ่น” มากกว่าอาคารยุคก่อนหลายสิบปี
สรุป: ผู้จัดการอาคารยุคใหม่ คือ Orchestrator of Value
บทบาทผู้จัดการอาคารไม่ใช่แค่ดูแลระบบ แต่คือ ผู้ควบคุมคุณค่าทั้งระบบของอาคาร ตั้งแต่
เทคโนโลยี
ผู้เช่า
ความปลอดภัย
ความยั่งยืน
ประสบการณ์
พลังงาน
การเงิน
ชุมชนสภาพแวดล้อม
อาคารในอนาคตจะเป็น “ระบบนิเวศแบบมีชีวิต” ที่ต้องการคนที่บริหารอย่างเข้าใจทั้งข้อมูล เทคโนโลยี และผู้ใช้อาคาร
คนที่เข้าใจ 10 เทรนด์นี้ก่อน จะเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมในอีก 5–10 ปีข้างหน้าแน่นอน


