Retail Matchmaking: ศิลปะการคัดเลือกร้านค้า เพื่อสร้าง “ชุมชนมีชีวิต” ในโครงการ Mixed-Use ของกรุงเทพฯ จากมุมมองของผู้บริหารอาคาร
- Chakrapan Pawangkarat
- Nov 7
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
7 November 2025

ในกรุงเทพฯ ที่เมืองกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว พื้นที่มีจำกัด และการแข่งขันเดือดทุกตารางเมตร “ พื้นที่รีเทล” กลายเป็นตัวชี้ชะตาความสำเร็จของโครงการ Mixed-Use ได้เลย การจัดสรรร้านค้าไม่ใช่แค่เลือกแบรนด์ดังมาติดป้าย แต่เป็น “ศาสตร์” ที่ต้องเข้าใจคน พื้นที่ และวัฒนธรรมเมืองอย่างลึกซึ้ง
The Gateway Effect ในบริบทของไทย
ในกรุงเทพฯ พื้นที่ค้าปลีกมักไม่ใช่แค่ “พื้นที่ขายของ” แต่เป็นเหมือน “ห้องนั่งเล่นของชุมชน” ไม่ได้มองร้านค้าในเชิงรายได้เป็นหลัก แต่ต้องการให้มันเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน อยู่สบาย และเข้าถึงง่าย
ชั้นล่างของโครงการ Mixed-Use ที่ดี จึงไม่ใช่แค่หน้าร้านสวยๆ แต่เป็นพื้นที่ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “เดินแล้วอยากอยู่ต่อ”
ในบางพื้นที่ ร้านอาหารหรูอาจตั้งอยู่ข้างร้านส้มตำริมทางได้อย่างลงตัวเพราะ “กรุงเทพฯ ที่แท้จริง” คือความหลากหลายที่อยู่ร่วมกันได้ โดยไม่มีใครถูกกันออกไปเพราะฐานรายได้
เข้าใจ DNA ของการใช้ชีวิตแบบกรุงเทพฯ
หัวใจสำคัญคือความ “สนุก” และ “การได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน” รีเทลไทยตอบโจทย์ได้ตั้งแต่:
รวมกลุ่มครอบครัวใหญ่
นั่งประชุมงานแบบสบายๆ
เปลี่ยนโหมดจากทำงาน → สังสรรค์ได้ทันที
หลายโครงการประสบความสำเร็จเพราะผสมผสาน แบรนด์สากล + ร้านไทย + ประสบการณ์ชุมชน ได้ดีไม่ใช่เพราะความ “หรู” แต่อยู่ที่ความ “เข้าถึงได้ และมีความหมาย”
Data + Sense: การเลือกผู้เช่าบนฐานข้อมูลและสัญชาตญาณวัฒนธรรม
ทุกวันนี้ การคัดเลือกร้านค้าต้องใช้ข้อมูลมากกว่าเดิม:
ปริมาณคนเดินในแต่ละช่วงเวลา
พฤติกรรมใช้จ่าย
อาชีพและฐานรายได้ของคนในพื้นที่
เวลาทำงานและเวลาสังคม
ตัวอย่างชัดคือ กลุ่มพนักงานออฟฟิศรุ่นใหม่ ต้องมี “ร้านอาหารกลางวันราคาเข้าถึงได้” ควบคู่กับ “ร้านที่นั่งหลังเลิกงาน” โครงการที่ดีคือโครงการที่ รองรับทั้งพนักงานเงินเดือนระดับเริ่มทำงาน และผู้บริหารระดับสูงได้ในพื้นที่เดียวกัน
สร้างระบบนิเวศให้เชื่อมโยงกัน
Mixed-Use ที่ดี ต้องตอบโจทย์คน 3 กลุ่มพร้อมกัน:
กลุ่ม | ต้องการอะไร |
ผู้อยู่อาศัย | ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านยา ร้านซักรีด |
พนักงานออฟฟิศ | อาหารเร็วแต่ดี ราคาเข้าถึงได้ บริการรายวัน |
นักท่องเที่ยว/แขกโรงแรม | ประสบการณ์ท้องถิ่น มีเอกลักษณ์ ไม่จำเจ |
โครงการที่ดีทำให้ร้านหนึ่ง “ส่งเสริม” อีกกิจการหนึ่งไม่ใช่ “แย่งลูกค้ากันเอง”
เทคโนโลยีและความยืดหยุ่นเพื่ออนาคต
ผู้บริโภคในกรุงเทพฯ คุ้นกับ:
การจ่ายเงินผ่านมือถือ
การสั่งอาหารส่งถึงบ้าน
การเชื่อมต่อ Wi-Fi ทุกที่
พื้นที่ที่ปรับเปลี่ยนฟังก์ชันได้เร็ว
โครงการที่คิดเผื่ออนาคต จะจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและ “สัญญาเช่าที่ปรับเปลี่ยนได้” เพื่อรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนเร็ว
มุมมองระยะยาว: สร้างชุมชน ไม่ใช่แค่รายได้
หัวใจของ Retail Matchmaking ในกรุงเทพฯ คือ “สร้างสถานที่ที่คนรู้สึกผูกพัน”
โครงการที่ดีไม่ได้แค่ “ทำให้ชีวิตสะดวก” แต่ทำให้ผู้คน “รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่”
และนั่นคือสิ่งที่ทำให้โครงการยั่งยืนไม่ว่าคนจะย้ายงาน เปลี่ยนไลฟ์สไตล์ หรือเมืองจะเปลี่ยนไปอย่างไร


