The Strongest Leaders Don’t Talk First
- Chakrapan Pawangkarat
- 3 days ago
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
2 November 2025

🔹 โลกที่เสียงดังขึ้นทุกวัน แต่ผู้นำต้องเรียนรู้ที่จะ “เงียบ”
ในยุคที่ทุกคนพูดพร้อมกัน เสียงของ “ความนิ่ง” กลับกลายเป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุด
ทุกองค์กรวันนี้เต็มไปด้วยข้อมูล เสียงความเห็น และความเร่งรีบในการตัดสินใจแต่สิ่งที่ขาดมากที่สุดกลับไม่ใช่ข้อมูล — คือ พื้นที่ให้เสียงที่หลากหลายได้ถูกฟังจริง ๆ
ผู้นำที่พูดก่อนอาจดูมั่นใจ แต่บ่อยครั้งนั่นคือการปิดประตูของความคิดใหม่โดยไม่รู้ตัวในทางกลับกัน ผู้นำที่ “รอฟัง” คือคนที่เปิดประตูให้ทีมรู้สึกว่าความเห็นของพวกเขามีค่า
“When people talk, listen completely. Most people never listen.”— Ernest Hemingway
ฮีมิงเวย์พูดไว้ตรงใจ — ส่วนใหญ่เราแค่ฟังเพื่อจะตอบกลับแต่ผู้นำที่แท้จริง “ฟังเพื่อเข้าใจ” และเมื่อเข้าใจครบ เขาจะพูดเพียงไม่กี่คำ แต่ทุกคำเปลี่ยนทิศทางได้ทั้งองค์กร
🔹 การฟัง: เครื่องมือทางกลยุทธ์ของผู้นำยุคใหม่
ในสมัยก่อน “การพูด” คือเครื่องมือของผู้นำแต่ในโลกที่ซับซ้อนแบบวันนี้ “การฟัง” กลับกลายเป็นเครื่องมือที่มีค่ากว่า
“Most people do not listen with the intent to understand; they listen with the intent to reply.”— Stephen R. Covey
โควีย์อธิบายสิ่งที่หลายองค์กรกำลังเผชิญ — เรามีผู้นำที่พูดได้ดี แต่ฟังไม่เป็น และเมื่อผู้นำไม่ฟัง องค์กรจะสูญเสียทั้ง “สัญญาณเตือน” และ “โอกาสในการสร้างนวัตกรรม” ไปพร้อมกัน
ในแวดวงบริหารอาคาร นี่เห็นได้ชัดมาก —เสียงเล็ก ๆ ของพนักงานรักษาความปลอดภัย หรือช่างเทคนิค บางครั้งคือ “สัญญาณล่วงหน้า” ของความเสี่ยงระดับระบบ แต่ถ้าไม่มีใครฟัง เสียงเตือนนั้นจะกลายเป็นเสียงหลังเหตุเกิดเสมอ
🔹 Strategic Silence: ความเงียบเชิงกลยุทธ์ของผู้นำ
“The quieter you become, the more you can hear.”— Ram Dass
“ความเงียบ” ไม่ได้หมายถึงการไม่แสดงความเห็น แต่คือการให้พื้นที่แก่ทีม ให้เวลาแก่ข้อมูล และให้โอกาสแก่ความคิดใหม่ ๆ
ผู้นำที่มีภาวะ Strategic Silence จะไม่รีบพูดเพื่อแสดงบทบาท แต่จะสังเกตว่าใครคิดยังไง ใครลังเล และทีมต้องการอะไรจริง ๆ ก่อนที่จะพูด
ในที่ประชุม เขาจะไม่พูดเพื่อปิดประเด็น แต่จะพูดเพื่อ “เปิดมุมมอง” และเมื่อเขาพูด — เสียงนั้นจะชัดกว่าทุกเสียง เพราะทีมรู้ว่า ผ่านการฟังมาแล้วทั้งหมด
🔹 พลังของ “ผู้นำที่พูดหลังสุด”
“A leader is best when people barely know he exists. When his work is done, his aim fulfilled, they will say: we did it ourselves.”— Lao Tzu
เล่าจื้อไม่ได้หมายถึงผู้นำที่หายตัว แต่หมายถึงผู้นำที่ทำให้ทีมรู้สึกว่า “นี่คือผลงานของเรา ไม่ใช่ของเขา” นั่นคือขั้นสูงสุดของภาวะผู้นำ — เมื่อทีมรู้สึกเป็นเจ้าของความสำเร็จโดยไม่ต้องมีใครมาชี้นำ
ในองค์กรจริง ผู้นำแบบนี้จะสร้าง “วัฒนธรรมความกล้าแสดงออก” เพราะเมื่อผู้นำฟัง ทีมจะกล้าพูดและเมื่อทีมกล้าพูด ความจริงจะถูกเปิดเผยก่อนจะสายเกินไป
🔹 ผู้นำที่ฟังได้ดี คือผู้นำที่ “เรียนรู้ได้เร็ว”
ในโลกที่เปลี่ยนเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ความสามารถในการเรียนรู้เร็วกว่าคู่แข่ง คือข้อได้เปรียบสูงสุดขององค์กรและการฟังคือ “ช่องทางของการเรียนรู้” ที่ลึกกว่าหนังสือหรือระบบใด ๆ
องค์กรที่ฟังเสียงลูกค้า จะพัฒนาเร็วกว่าองค์กรที่พูดถึงตัวเอง ผู้นำที่ฟังเสียงทีม จะเข้าใจ “สัญญาณความเหนื่อย” ก่อนจะกลายเป็นการลาออก และในงานบริหารอาคาร ผู้นำที่ฟังเสียงจากภาคสนาม จะเห็นปัญหาจากมุมที่คนในห้องประชุมมองไม่เห็น
🔹 พูดน้อย แต่สร้างผลลัพธ์มาก
ผู้นำที่พูดก่อน มักต้องพูดซ้ำ ผู้นำที่พูดหลังสุด มักพูดครั้งเดียวแล้วทุกคนเข้าใจ
เพราะทุกคำของเขาผ่านการฟัง วิเคราะห์ และกลั่นกรองมาแล้ว
นี่ไม่ใช่การสื่อสารแบบ “Top-Down” อีกต่อไปแต่มันคือ “Dialogue Leadership” — ผู้นำที่พูดจากการฟัง และสร้างพลังร่วมจากทุกฝ่าย
🔹 บทสรุป: เสียงของผู้นำที่แท้จริง
ในยุคที่ใครก็พูดได้ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่คือคนที่ “รู้ว่าเมื่อไรควรพูด และเมื่อไรควรฟัง”
The strongest leaders don’t talk first. They listen, understand, and then speak — once, with clarity and purpose.
เพราะสุดท้าย “เสียงที่ทรงพลังที่สุด” ไม่ใช่เสียงที่ดังที่สุด แต่คือเสียงที่เกิดขึ้นหลังจากได้ฟังทุกเสียงแล้ว — ด้วยความเข้าใจและความเคารพ
🌱 จากใจผู้นำถึงผู้นำ
ในทุกวงประชุม การประชุมทีม หรือแม้แต่การคุยกับลูกบ้าน ลองช้าลงนิด ฟังให้สุด แล้วพูดให้น้อยลง
บางครั้ง สิ่งที่ทีมต้องการ ไม่ใช่คำสั่งที่ชัด แต่คือ “หัวหน้าที่ฟังจริง” เพราะในความเงียบของผู้นำ… มักซ่อนพลังที่สร้างการเปลี่ยนแปลงได้มากที่สุด


