top of page

When AI Meets Corporate Real Estate: การเปลี่ยนผ่านจากเทคโนโลยีสู่กลยุทธ์

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

3 November 2025


ree


🧭 บทนำ: จุดเปลี่ยนของ Corporate Real Estate ในยุคปัญญาประดิษฐ์


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกธุรกิจถูกเขย่าโดยคำว่า “AI” — ปัญญาประดิษฐ์ที่เคยเป็นเพียงแนวคิดในห้องวิจัย วันนี้กลายเป็นกลไกสำคัญขององค์กรทั่วโลก ตั้งแต่โรงงานการผลิต การเงิน ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์องค์กร หรือ Corporate Real Estate (CRE)


สำหรับหลายทศวรรษที่ผ่านมา CRE ถูกมองเป็นเพียง “ทรัพย์สินที่ต้องดูแล” หรือ “พื้นที่ต้นทุน” ขององค์กร แต่เมื่อ AI เข้ามา มุมมองนี้กำลังเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง — อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ แต่คือ แพลตฟอร์มข้อมูล ที่สามารถขับเคลื่อนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้


รายงาน Global Real Estate Technology Survey 2025 สะท้อนการเปลี่ยนแปลงนี้ได้อย่างชัดเจนที่สุด:

“ในเวลาเพียงสามปี อัตราองค์กรที่ทดลองใช้ AI เพื่อบริหารอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 92%แต่มีเพียง 5% เท่านั้นที่บรรลุผลลัพธ์ที่ตั้งไว้”

นี่ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีไม่ดีพอ —แต่เพราะองค์กรส่วนใหญ่ “ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไรจากมัน”


AI จึงไม่ได้ทดสอบความสามารถของเครื่องจักรแต่กำลังทดสอบ “วิธีคิดของคน” ในการสร้างคุณค่าจากเทคโนโลยี


🤖 1. จากการทดลองสู่ความเข้าใจ: จุดเริ่มต้นของ AI ต้องมาจากคำถาม ไม่ใช่เครื่องมือ


หลายองค์กรในปัจจุบันเริ่มใช้ AI ด้วยแรงบันดาลใจจากเทรนด์ เช่น “เราต้องมีระบบ AI เหมือนคู่แข่ง” หรือ “เราควรมี Chatbot เพื่อให้ดูทันสมัย”แต่สิ่งที่ขาดคือ โจทย์ที่แท้จริงของธุรกิจ


การนำ AI เข้ามาโดยไม่มีเป้าหมายชัดเจน มักจบลงด้วย “Pilot Projects” ที่ไม่ต่อยอด เช่น

  • ระบบ AI ที่ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลพลังงาน แต่ไม่มีใครนำผลลัพธ์ไปใช้ตัดสินใจจริง

  • Chatbot ที่ตอบคำถามผู้ใช้อาคารได้ดี แต่ไม่เชื่อมโยงกับระบบจัดการข้อร้องเรียน

  • Dashboard ที่สวยงามแต่ไม่มี KPI ที่บอกได้ว่า “มันช่วยให้อาคารดีขึ้นอย่างไร”


องค์กรที่ประสบความสำเร็จแตกต่างตรงนี้ — พวกเขาเริ่มจาก “Why” ก่อน “What”


พวกเขาออกแบบ AI เพื่อแก้ปัญหาเชิงกลยุทธ์ ไม่ใช่เพื่อโชว์ศักยภาพเทคโนโลยี

เช่น

  • ตั้งเป้า “ลดการใช้พลังงานรวมของพอร์ตอสังหาฯ ลง 10% ภายในสองปี”

  • ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการใช้พื้นที่และออกแบบ Workplace ใหม่ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น 20%

  • พัฒนาโมเดลคาดการณ์เพื่อปรับแผนซ่อมบำรุงก่อนเกิดเหตุเสียจริง


องค์กรเหล่านี้จึงสร้าง AI Roadmap ที่มีตัวชี้วัดชัดเจนในทุกระยะและที่สำคัญ — พวกเขามีวัฒนธรรมที่ยอมรับ “การเรียนรู้จากความล้มเหลว” ของโครงการแรก ๆ ด้วย


🏗️ 2. Legacy Tech คือกำแพงของนวัตกรรม


แม้หลายองค์กรจะตื่นตัวเรื่อง AI แต่ความจริงที่เจ็บปวดคือ กว่า 81% ขององค์กรทั่วโลกยังติดอยู่กับระบบเทคโนโลยีเดิม (Legacy Systems)


ระบบเหล่านี้มักถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับ “ภารกิจในอดีต” ไม่ใช่ “ความยืดหยุ่นในอนาคต”ผลลัพธ์คือข้อมูลที่กระจัดกระจาย คนแต่ละแผนกถือข้อมูลไว้คนละแบบ และไม่มีมาตรฐานกลางในการเก็บ วิเคราะห์ หรือเชื่อมโยงกัน


ตัวอย่างเช่น

  • ข้อมูลการใช้พลังงานอยู่ในระบบหนึ่ง

  • ข้อมูลซ่อมบำรุงอยู่ในอีกระบบหนึ่ง

  • ข้อมูลค่าเช่าอยู่ในระบบบัญชีที่เข้าถึงยาก


AI ไม่สามารถเรียนรู้ได้จากข้อมูลที่ไม่เชื่อมโยงและองค์กรไม่สามารถ “ตัดสินใจด้วยข้อมูล” ถ้าไม่รู้ว่าข้อมูลไหนคือความจริง


ดังนั้น “การยกเครื่องโครงสร้างข้อมูล” (Data Infrastructure Modernization) จึงเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดของการเดินทางสู่ AI


องค์กรต้องวางรากฐานของระบบที่ เชื่อมโยง ปลอดภัย และอัปเดตได้แบบเรียลไทม์ พร้อมสร้าง “Data Governance” ที่ชัดเจน เพื่อให้ข้อมูลทุกชุดเชื่อถือได้เท่ากันในทุกระดับของการตัดสินใจ


AI จึงไม่ใช่เรื่องของการซื้อซอฟต์แวร์ใหม่แต่คือการ “ออกแบบระบบประสาทขององค์กรใหม่ทั้งหมด”


💡 3. คนไม่หายไป แค่ต้องเก่งขึ้น: AI คือเครื่องมือเสริมมนุษย์ ไม่ใช่แทนมนุษย์


คำถามที่หลายคนกลัวคือ “AI จะมาแทนงานของเราไหม?” แต่รายงานนี้ย้ำชัดว่า AI จะไม่แทนคน แต่จะยกระดับคนที่ใช้มันได้อย่างมีความเข้าใจ


AI ที่ดีที่สุดไม่ได้ตัดสินใจแทนคนแต่มันทำให้ “การตัดสินใจของคน” ดีขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น


ตัวอย่างเช่น

  • ผู้จัดการอาคารสามารถใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมผู้เช่าและวางแผนปรับปรุงพื้นที่ให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง

  • วิศวกรสามารถใช้ Machine Learning วิเคราะห์แนวโน้มการเสียของระบบเครื่องกลล่วงหน้า

  • ฝ่ายการเงินสามารถใช้ข้อมูลจาก AI เพื่อคำนวณมูลค่าพลังงานที่ประหยัดได้จากการปรับปรุงระบบ


องค์กรที่เข้าใจเรื่องนี้จะไม่ใช้ AI เพื่อลดจำนวนคนแต่ใช้เพื่อ “เพิ่มขีดความสามารถของคน” ให้ทำงานเชิงกลยุทธ์มากขึ้น


ดังนั้น การ Upskill และ Reskill จึงเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านจากพนักงานที่ “ทำตามระบบ” ไปสู่ “ผู้ออกแบบระบบ” ที่เข้าใจทั้งข้อมูลและผลลัพธ์ธุรกิจ


🔍 4. จาก Operation สู่ Strategy: เมื่ออสังหาริมทรัพย์กลายเป็นฐานข้อมูลขององค์กร


ในอดีต การบริหารอสังหาริมทรัพย์มักเน้นเรื่อง “ประสิทธิภาพในการดูแล” เช่น ควบคุมพลังงาน ลดค่าใช้จ่าย ซ่อมให้ไว แต่ในวันนี้ ข้อมูลจากอาคารกลับกลายเป็น “สินทรัพย์เชิงกลยุทธ์”


องค์กรสามารถใช้ AI เพื่อวิเคราะห์และวางแผนในระดับพอร์ตโฟลิโอ เช่น

  • พยากรณ์อัตราการเช่าล่วงหน้าโดยใช้ข้อมูลตลาดและข้อมูลพฤติกรรมผู้ใช้อาคาร

  • ประเมินความคุ้มค่าของการรีโนเวตเทียบกับการขาย

  • วางแผนการลงทุนในพื้นที่ใหม่ตามข้อมูลการเติบโตของเมือง


AI ยังสามารถประเมิน “ความพร้อมของอาคาร” ต่อเป้าหมาย Net Zero คำนวณศักยภาพในการลดการปล่อยคาร์บอนของแต่ละโครงการและแปลงข้อมูลเหล่านี้เป็น กลยุทธ์การลงทุนเพื่อความยั่งยืน (Sustainable Investment Strategy)


ดังนั้น ผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่จึงไม่ใช่เพียง “ผู้จัดการอาคาร”แต่คือ “นักวิเคราะห์ข้อมูลเชิงกลยุทธ์” ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อวางแผนอนาคตของสินทรัพย์ทั้งหมด


🌐 5. Data-Driven Mindset: สร้างองค์กรที่ “คิดได้” ด้วยข้อมูลที่ “เรียนรู้ได้”


หัวใจของ AI ไม่ใช่การคำนวณ แต่คือ “การเรียนรู้” และการเรียนรู้เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อข้อมูลถูกเก็บและใช้ซ้ำอย่างมีระบบ


องค์กรที่มีระบบข้อมูลแข็งแรงจะสร้าง “วงจรแห่งการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง”:

ข้อมูล → การวิเคราะห์ → การตัดสินใจ → การลงมือทำ → ข้อมูลใหม่

เมื่อวงจรนี้หมุนอย่างต่อเนื่ององค์กรจะไม่หยุดอยู่กับเดิม แต่จะพัฒนา “ตัวเอง” ทุกวัน


ในเชิงอสังหาริมทรัพย์ นี่หมายถึงการบริหารสินทรัพย์ที่ไม่เพียงรักษาสภาพ แต่ “เรียนรู้จากพฤติกรรมของผู้ใช้”เช่น อาคารสามารถปรับระบบปรับอากาศอัตโนมัติจากพฤติกรรมการเข้าใช้งานหรือสามารถคาดการณ์ความต้องการซ่อมบำรุงก่อนเกิดเหตุจริง


องค์กรที่สร้างวัฒนธรรมการตัดสินใจบนฐานข้อมูล (Data-Driven Culture) จะได้เปรียบอย่างมหาศาล เพราะทุกการตัดสินใจไม่ใช่ “คาดเดา” แต่ “คำนวณจากหลักฐานจริง”


🧩 6. วัฒนธรรมคือหัวใจของการเปลี่ยนผ่าน


ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของการเปลี่ยนผ่านสู่โลก AI ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยี แต่อยู่ที่ “คนและวัฒนธรรม”


การนำ AI เข้ามาในองค์กรคือการเปลี่ยนระบบคิด — จาก “ทำตามประสบการณ์” ไปสู่ “ทำตามข้อมูล” และจาก “แผนงานที่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า” ไปสู่ “กลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าอย่างยั่งยืน”


องค์กรที่สำเร็จในรายงานนี้มีลักษณะร่วมกันคือ

  • เปิดรับการทดลอง

  • ยอมรับข้อผิดพลาด

  • และให้รางวัลกับ “ความรู้ใหม่” มากกว่า “ความถูกต้องเก่า”


พวกเขาไม่ได้ใช้ AI เพื่อควบคุมพนักงานแต่ใช้ AI เพื่อเปิดพื้นที่ให้พนักงานคิดและตัดสินใจได้ดีขึ้น


🔭 7. The AI Paradox of Corporate Real Estate


“AI จะไม่มาแทนคน แต่จะมาแทนองค์กรที่ไม่เข้าใจ AI”

นี่คือสัจธรรมที่องค์กรทุกแห่งควรตระหนัก


การใช้ AI ไม่ใช่เรื่องของการ “ทันเทคโนโลยี” แต่คือการสร้าง ความเข้าใจใหม่ต่อคุณค่าของข้อมูล และ การตัดสินใจอย่างมีหลักฐาน


องค์กรที่เข้าใจจะใช้ AI เป็น “กล้องส่องอนาคต” เพื่อมองเห็นแนวโน้มก่อนคนอื่นหนึ่งก้าวในขณะที่องค์กรที่มอง AI เป็นแค่ “ของเล่นราคาแพง” จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังในเวลาไม่กี่ปี


🌱 8. อนาคตของ Corporate Real Estate


ในอีก 5–10 ปีข้างหน้า เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการนี้:

  • อาคารจะมี “ระบบสมองกลาง” ที่สามารถวิเคราะห์และตอบสนองได้แบบเรียลไทม์

  • ผู้บริหารจะตัดสินใจจาก “ข้อมูลของพอร์ตทั้งหมด” แทนที่จะดูแต่ละโครงการแยกกัน

  • การบริหารพลังงานจะเชื่อมโยงกับเป้าหมาย ESG และ Net Zero โดยตรง

  • และที่สำคัญ — การบริหารอสังหาริมทรัพย์จะกลายเป็น “เครื่องมือขับเคลื่อนกลยุทธ์องค์กร”


ในโลกใหม่ของ CRE อาคารที่ดีจะไม่ใช่แค่ “ตึกที่ยืนอยู่ได้” แต่ต้องเป็น “ตึกที่เรียนรู้และเติบโตได้พร้อมกับองค์กร”


✳️ สรุปส่งท้าย


AI ไม่ได้เปลี่ยนเพียงเครื่องมือ แต่กำลังเปลี่ยน “วิธีคิดของคนที่บริหารอสังหาริมทรัพย์”


องค์กรที่เข้าใจ AI อย่างแท้จริง จะไม่ถามว่า “จะใช้มันอย่างไร”แต่จะถามว่า “จะสร้างคุณค่าใหม่จากมันได้อย่างไร”


และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ ยุคใหม่ของ Corporate Real Estate —จากทรัพย์สินที่หยุดนิ่ง สู่สินทรัพย์ที่เรียนรู้ได้ตลอดเวลา

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page