ระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับอาคารขนาดใหญ่
- Chakrapan Pawangkarat
- Jun 24
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property and Asset Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
24 June 2025

บทนำ
ในบริบทของเมืองที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว อาคารขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงพยาบาล หรืออาคารชุดพักอาศัย ล้วนมีบทบาทสำคัญในการสร้างสรรค์พื้นที่ใช้สอยและเศรษฐกิจของเมือง อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของอาคารเหล่านี้ก่อให้เกิดน้ำเสียในปริมาณมาก ซึ่งต้องได้รับการจัดการอย่างเหมาะสมก่อนจะถูกปล่อยลงสู่ระบบระบายน้ำสาธารณะ หากไม่มีระบบบำบัดน้ำเสียที่มีประสิทธิภาพ ไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม เช่น กลิ่นเหม็นหรือการปนเปื้อนของแหล่งน้ำ แต่ยังอาจละเมิดกฎหมายสิ่งแวดล้อมและส่งผลต่อภาพลักษณ์ของอาคารด้วย
บทความนี้จะกล่าวถึงลักษณะของน้ำเสียจากอาคารขนาดใหญ่ ประเภทของระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้งานในปัจจุบัน หลักการทำงานของระบบแบบต่าง ๆ ปัญหาที่มักพบในภาคปฏิบัติ ตลอดจนแนวทางในการดูแลรักษาให้ระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
1. ลักษณะของน้ำเสียจากอาคารขนาดใหญ่
อาคารขนาดใหญ่มีการใช้น้ำอย่างต่อเนื่องในแต่ละวัน โดยเฉพาะอาคารที่มีผู้ใช้งานจำนวนมาก เช่น ศูนย์ราชการ ห้างสรรพสินค้า หรือโรงแรมขนาดใหญ่ มีปริมาณการใช้น้ำสูงถึง 300 - 500 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน ซึ่งน้ำที่ใช้ไปจะกลายเป็นน้ำเสียที่ต้องได้รับการบำบัด
น้ำเสียจากอาคารประกอบด้วยสารอินทรีย์ สารอนินทรีย์ ไขมัน น้ำมัน สารซักล้าง และจุลชีพชนิดต่าง ๆ ซึ่งหากปล่อยลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติโดยไม่ผ่านการบำบัด จะทำให้ปริมาณออกซิเจนละลายในน้ำลดลง ส่งผลให้สัตว์น้ำขาดออกซิเจนและระบบนิเวศในน้ำถูกรบกวน
ปัจจุบันประเทศไทยมีการกำหนดมาตรฐานน้ำทิ้งจากอาคารไว้ตามประกาศของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งค่าที่สำคัญได้แก่:
BOD (Biochemical Oxygen Demand) ไม่เกิน 20 มิลลิกรัมต่อลิตร
Suspended Solids (SS) ไม่เกิน 30 มิลลิกรัมต่อลิตร
pH อยู่ในช่วง 5 – 9
2. ประเภทของระบบบำบัดน้ำเสีย
ระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้ในอาคารสามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ:
2.1 ระบบไม่ใช้อากาศ (Anaerobic System)
ระบบนี้เหมาะสำหรับอาคารขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย หรืออาคารที่มีการใช้น้ำน้อย ระบบจะใช้จุลชีพในสภาวะไร้อากาศในการย่อยสลายสารอินทรีย์ ตัวอย่างของระบบนี้ได้แก่ ถังบำบัดรวมสำเร็จรูป หรือส้วมซึม
ข้อดีของระบบไม่ใช้อากาศ คือ ใช้พลังงานน้อยและดูแลรักษาง่าย แต่มีข้อจำกัดเรื่องประสิทธิภาพในการบำบัด จึงไม่เหมาะกับอาคารที่ต้องบำบัดน้ำให้ได้คุณภาพดี หรือ BOD ต่ำๆ
2.2 ระบบใช้อากาศ (Aerobic System)
ระบบนี้เป็นที่นิยมในอาคารขนาดใหญ่ เนื่องจากสามารถบำบัดน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง โดยอาศัยการเติมอากาศให้น้ำเสียเพื่อส่งเสริมการทำงานของจุลินทรีย์ในกระบวนการย่อยสลายสารอินทรีย์
ระบบใช้อากาศที่พบมากคือ ระบบ Activated Sludge หรือระบบตะกอนเร่ง ซึ่งมีส่วนประกอบหลักดังนี้:
บ่อเติมอากาศ (Aeration Tank): เพื่อให้จุลินทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสีย
บ่อตกตะกอน (Sedimentation Tank): เพื่อแยกตะกอนจุลินทรีย์ออกจากน้ำใส
ระบบหมุนเวียนตะกอน: นำตะกอนบางส่วนกลับไปยังบ่อเติมอากาศเพื่อรักษาปริมาณจุลินทรีย์ให้เพียงพอ
ระบบนี้ต้องใช้เครื่องจักร เช่น Blower, ปั๊มน้ำ และระบบควบคุมอัตโนมัติ ซึ่งมีต้นทุนการติดตั้งและบำรุงรักษาค่อนข้างสูง แต่ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าในระยะยาว
3. ปัญหาและความท้าทายของระบบบำบัดน้ำเสีย
แม้ระบบจะออกแบบอย่างเหมาะสมแล้ว แต่ในภาคปฏิบัติยังพบปัญหาหลายประการ ได้แก่:
3.1 ไขมันปนเปื้อนในน้ำเสีย
หนึ่งในปัญหาสำคัญคือ ไขมันจากครัวหรือร้านอาหารภายในอาคาร ซึ่งหากไม่ได้ติดตั้งถังดักไขมัน (Grease Trap) ก่อนปล่อยน้ำลงท่อ ไขมันจะเข้าสู่ระบบระบายน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสีย ทำให้เกิดการสะสมในท่อและอุปกรณ์ต่าง ๆ จนเกิดการอุดตัน มีกลิ่นเหม็น และลดประสิทธิภาพของระบบ
3.2 การชำรุดของเครื่องจักร
Blower, ปั๊ม และแผงควบคุมไฟฟ้า มักเกิดการเสียหายหากไม่ได้รับการตรวจสอบเป็นประจำ เช่น Blower หยุดทำงานจะทำให้จุลินทรีย์ตาย น้ำเสียจะส่งกลิ่นทันที และอาจทำให้น้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์
3.3 การเปลี่ยนแปลงลักษณะการใช้อาคาร
บางอาคารเริ่มต้นด้วยรูปแบบสำนักงาน แต่ต่อมาเปิดให้ร้านอาหารเข้ามาเช่าพื้นที่ ระบบบำบัดเดิมที่ออกแบบไว้สำหรับน้ำเสียที่มี BOD ต่ำ อาจไม่สามารถรองรับน้ำเสียและสารอินทรีย์จากอาหารได้เพียงพอ จึงต้องมีการประเมินและปรับปรุงระบบให้สอดคล้อง
3.4 การขาดการตรวจสอบคุณภาพน้ำทิ้ง
หากไม่มีการตรวจสอบอย่างสม่ำเสมอ เจ้าของอาคารอาจไม่ทราบว่าน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์ ซึ่งอาจนำไปสู่การถูกปรับ หรือสูญเสียใบอนุญาตการประกอบการในบางกรณี
4. แนวทางในการดูแลรักษาและการบริหารจัดการ
4.1 การออกแบบระบบให้เหมาะสมตั้งแต่ต้น
ควรประเมินประเภทของผู้ใช้อาคารให้ชัดเจน และเผื่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น หากเป็นอาคารสำนักงานที่อาจมีศูนย์อาหารในอนาคต ควรเผื่อระบบ Grease Trap และดักไขมันก่อนเข้าระบบบำบัดน้ำเสียไว้รองรับ
4.2 การตรวจสอบและบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
ตรวจสอบ blower, ปั๊มน้ำ, ระบบควบคุมไฟฟ้า อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
ทำความสะอาดถังตกตะกอน และบ่อเติมอากาศ อย่างสม่ำเสมอ
ตรวจวัดคุณภาพน้ำทิ้งรายเดือนโดยส่งตัวอย่างไปยังห้องแล็บที่ได้รับการรับรอง
4.3 การมีส่วนร่วมของผู้ใช้อาคาร
ผู้เช่าและผู้ใช้งานอาคารมีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะผู้ประกอบการร้านอาหารควรใช้ถังดักไขมัน และมีการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ ฝ่ายบริหารอาคารควรมีการสื่อสารและให้คำแนะนำเรื่องการจัดการน้ำเสียแก่ผู้เช่าอย่างต่อเนื่อง
4.4 การอบรมทีมงาน
เจ้าหน้าที่วิศวกรรมและทีมช่างควรได้รับการอบรมเกี่ยวกับการดูแลระบบบำบัดน้ำเสีย รวมถึงการวิเคราะห์ปัญหาเบื้องต้น การดูแลรักษาเครื่องจักร และการอ่านผลวิเคราะห์น้ำทิ้ง เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ทันท่วงที
4.5 การใช้เทคโนโลยีช่วยวิเคราะห์และควบคุม
ปัจจุบันมีการนำระบบ BMS และ IoT มาใช้ในระบบบำบัดน้ำเสีย เพื่อให้สามารถควบคุมและติดตามการทำงานแบบเรียลไทม์ รวมถึงแจ้งเตือนเมื่อเกิดความผิดปกติ เช่น ค่า DO ต่ำเกินไป หรือ Blower หยุดทำงาน
บทสรุป
ระบบบำบัดน้ำเสียสำหรับอาคารขนาดใหญ่เป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมในเมือง การออกแบบระบบอย่างเหมาะสม การดูแลรักษาเชิงรุก และความร่วมมือของผู้ใช้อาคาร ล้วนเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ระบบสามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพในระยะยาว
ในโลกยุคใหม่ที่ความยั่งยืนกลายเป็นหัวข้อสำคัญของทุกอุตสาหกรรม การให้ความสำคัญกับการจัดการน้ำเสียในอาคาร ไม่เพียงแต่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้อาคาร และส่งเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรในระยะยาว
ท้ายที่สุด ระบบบำบัดน้ำเสียที่ดีไม่ใช่เพียงแค่เทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่คือระบบที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมีความเข้าใจและมีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง
ดูคลิปอธิบายเพิ่มเติม


