top of page

หลักการสัญญาประกันภัย: บทเรียนสำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด

Updated: Apr 14


จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property and Asset Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

7 April 2025



สัญญาประกันภัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติที่ไม่คาดฝัน เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้านเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ซึ่งส่งแรงสั่นสะเทือนมารุนแรงถึงกรุงเทพมหานครและหลายจังหวัดในประเทศไทย ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออาคารและทรัพย์สินจำนวนมาก ยิ่งตอกย้ำความสำคัญของการทำความเข้าใจหลักการพื้นฐานของสัญญาประกันภัย เพื่อให้กระบวนการเรียกร้องและชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างถูกต้องและยุติธรรม หลักการสำคัญ 6 ประการ มีดังนี้:


1. หลักส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัย (Principle of Insurable Interest)

ในบริบทของเหตุการณ์แผ่นดินไหว ผู้ที่สามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้คือผู้ที่มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่เสียหาย เช่น เจ้าของบ้าน เจ้าของคอนโดมิเนียม หรือเจ้าของธุรกิจที่อาคารได้รับความเสียหายจากแรงสั่นสะเทือน หากท่านเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้นๆ และได้ทำประกันภัยที่คุ้มครองความเสียหายจากแผ่นดินไหวไว้ ท่านย่อมมีสิทธิเรียกร้องตามกรมธรรม์ได้ เพราะท่านจะได้รับความเดือดร้อนทางการเงินโดยตรงหากทรัพย์สินเสียหาย


2. หลักสุจริตใจอย่างยิ่ง (Principle of Utmost Good Faith)

หลักการนี้สำคัญทั้งตอนทำประกันและตอนเรียกร้องค่าสินไหมฯ ตอนทำประกัน ผู้เอาประกันมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลตามจริงเกี่ยวกับทรัพย์สิน เช่น โครงสร้างอาคาร หรือส่วนต่อเติมต่างๆ ขณะเดียวกัน บริษัทประกันก็ต้องให้ข้อมูลความคุ้มครองที่ชัดเจน เมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว ผู้เอาประกันต้องแจ้งความเสียหายตามความเป็นจริง ไม่ปิดบัง หรือเรียกร้องเกินกว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง เพื่อให้การพิจารณาสินไหมเป็นไปอย่างยุติธรรม


3. หลักการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามความเป็นจริง (Principle of Indemnity)

นี่คือหัวใจสำคัญของการชดเชยความเสียหายจากแผ่นดินไหว บริษัทประกันจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงที่ประเมินได้ เช่น ค่าซ่อมแซมรอยร้าว ค่าแก้ไขโครงสร้างที่เสียหาย หรือมูลค่าทรัพย์สินที่เสียหายสิ้นเชิง ทั้งนี้ ไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันภัยที่ระบุไว้ วัตถุประสงค์คือเพื่อให้ผู้เอาประกันกลับคืนสู่สถานะเดิมก่อนเกิดภัย ไม่ใช่การได้กำไรจากเหตุการณ์ การประเมินความเสียหายโดยผู้ประเมินภัย (Surveyor) จึงมีความสำคัญมากในกรณีเช่นนี้


4. หลักการรับช่วงสิทธิ (Principle of Subrogation)

หลักการนี้อาจเกี่ยวข้องหากความเสียหายจากแผ่นดินไหวถูกทำใหรุนแรงขึ้นโดยความประมาทของบุคคลที่สาม เช่น กรณีอาคารที่สร้างไม่ได้มาตรฐานเกิดถล่มลงมา หากบริษัทประกันได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกัน (เจ้าของอาคารหรือผู้ได้รับผลกระทบ) ไปแล้ว บริษัทประกันอาจรับช่วงสิทธิไปเรียกร้องค่าเสียหายคืนจากผู้รับเหมา หรือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานนั้นได้


5. หลักการร่วมชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ หลักการเฉลี่ย (Principle of Contribution)

หากอาคารหรือทรัพย์สินที่เสียหายจากแผ่นดินไหวมีการทำประกันภัยไว้กับบริษัทประกันมากกว่าหนึ่งแห่ง โดยให้ความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหวเหมือนกัน บริษัทประกันแต่ละแห่งจะร่วมกันเฉลี่ยจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามสัดส่วนความรับผิดชอบที่ตนรับประกันไว้ เพื่อให้ผู้เอาประกันได้รับค่าสินไหมทดแทนรวมกันแล้วไม่เกินความเสียหายที่แท้จริง


6. หลักสาเหตุใกล้ชิด (Principle of Proximate Cause)

ในการพิจารณาจ่ายสินไหมจากเหตุแผ่นดินไหว บริษัทประกันจะดูว่าความเสียหายนั้นมีสาเหตุใกล้ชิดมาจาก "ภัยแผ่นดินไหว" ซึ่งเป็นภัยที่ระบุให้ความคุ้มครอง (หรือซื้อเพิ่มเติม) ในกรมธรรม์หรือไม่ หากความเสียหายเกิดจากแรงสั่นสะเทือนโดยตรง และภัยแผ่นดินไหวได้รับความคุ้มครอง ก็จะได้รับการชดใช้ แต่หากความเสียหายเกิดจากสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่ผลโดยตรง หรือเกิดจากภัยที่ไม่คุ้มครอง ก็อาจไม่ได้รับการชดใช้


บทสรุป

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ส่งผลกระทบวงกว้างครั้งนี้ เป็นเครื่องเตือนใจให้เห็นความสำคัญของการมีประกันภัยที่เหมาะสม และการเข้าใจหลักการพื้นฐานของสัญญาประกันภัย ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหลังเกิดภัยพิบัติเป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย การตรวจสอบความคุ้มครองในกรมธรรม์ของท่าน โดยเฉพาะความคุ้มครองภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว จึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง



อ้างอิง



Acknowledgement:

"This article was generated with the assistance of Gemini, an AI tool, and subsequently reviewed and edited by the author."

Comments


Chakrapan Pawangkarat

  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
bottom of page