top of page

Always-On Era

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

6 December 2025


ree

เมื่อโลกไม่เคยพัก… และ Gen Z กำลังนิยามกติกาใหม่ของการทำงาน


ถ้าเรามองย้อนกลับไปเมื่อสิบปีก่อน การทำงานคือเรื่องง่ายกว่านี้มากมีเวลาเริ่มงาน มีเวลาเลิกงาน มีสถานที่ชัดเจน และมีขอบเขตที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน


แต่ปัจจุบัน เราอยู่ในยุคที่ขอบเขตทั้งหมด — เวลา สถานที่ และบทบาท — กลายเป็น “ของเหลว” ไหลไปมาได้ตามงานและเทคโนโลยี จนการ “ปิดเครื่อง” กลายเป็นเรื่องหรูหรา


และท่ามกลางทุกอย่างที่หมุนเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ Gen Z คือกลุ่มที่ต้องรับแรงกระแทกตรง ๆ มากที่สุด


ในฐานะคนทำงานต่างเจเนอเรชัน เราเห็นภาพชัดว่า พวกเขาไม่ได้ขี้บ่น ไม่ได้เลือกงาน แต่กำลังปรับตัวอย่างหนักในโลกที่ไม่เคยหยุดเลยแม้แต่นาทีเดียว


01. การ “Always-On” ไม่ใช่ความอยากโชว์ แต่คือการเอาตัวรอด


หลายคนอาจมองว่า Gen Z ติดมือถือ ติดเทคโนโลยี หรืออยากโดดเด่นแต่ความจริงเบื้องหลังคือ “กลไกการปรับตัว”


โลกของพวกเขาเต็มไปด้วยความเร็ว: ข้อมูลหลั่งไหลทั้งวัน เทรนด์เปลี่ยนทุกสัปดาห์ สกิลใหม่โผล่ทุกเดือน


การตอบแชทไว การอัปเดตงาน การทำตัวให้เห็นไม่ใช่การอวดผลงาน แต่คือสัญญาณบอกองค์กรว่า “ฉันอยู่ ฉันพร้อม ฉันไม่ตกขบวน”


และนี่คือทักษะการเอาตัวรอดของคนรุ่นที่เกิดใน Always-On Era


02. Work–Life Balance ไม่ได้หายไป แต่มันถูกรีแบรนด์ใหม่


สำหรับคนรุ่นก่อน เส้นแบ่งระหว่าง “ชีวิต” กับ “งาน” ค่อนข้างชัดแต่สำหรับ Gen Z — มันซ้อนทับกันแทบทั้งหมด


คอลหนึ่งต่ออีกคอลตอบงานในคาเฟ่ประชุมจากห้องนอนวิเคราะห์งานหลังเที่ยงคืนเพราะไอเดียมา

มันไม่ใช่เพราะ Gen Z ขยันเกินคนอื่นแต่เพราะงานวิ่งตามเขาทุกที่บนอุปกรณ์ที่อยู่ในมือ 24 ชั่วโมง


ในฐานะคนเจเนอเรชันก่อน เราเห็นชัดว่าพวกเขาพยายามจัดการมันอย่างดีที่สุดในโลกที่ยังไม่เคยมีคู่มือการใช้งานมาก่อน


03. ความกลัวตกขบวนอาชีพ มีจริงและหนักกว่าที่เราคิด


คนรุ่นก่อนเปลี่ยนงานด้วยเหตุผลใหญ่แต่คนรุ่นใหม่ต้องพัฒนาตัวเองแทบตลอดเวลา เพื่อไม่ให้โดนเทคโนโลยีแซง


ความกดดันนี้ไม่ใช่เรื่องเล่น ๆมันทำให้หลายคน “ไม่กล้าเงียบ” แม้กำลังล้าเพราะรู้ดีว่าโลกใบนี้มีความเร็วที่ไม่เคยปราณีใคร


และในฐานะผู้ใหญ่ที่เห็นสถานการณ์ชัดกว่า เราควรเข้าใจว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการความสะดวกสบายแต่ต้องการ “ความมั่นใจว่าอนาคตยังเป็นของเขาได้”


04. Hybrid ทำให้ยืดหยุ่นขึ้น แต่ก็ทำให้โดดเดี่ยวขึ้นโดยไม่รู้ตัว


Gen Z ทำงานได้จากทุกที่ นี่คือข้อดีที่คนรุ่นก่อนเองยังอิจฉาแต่ข้อเท็จจริงอีกด้านคือ “การไม่ได้เจอทีม” ทำให้หลายคนรู้สึกหลุดจากสังคมการทำงาน


เราเห็นคนรุ่นนี้ “เก่งขึ้น” แต่ “เหงาขึ้น”เพราะไม่ค่อยมีโมเมนต์ธรรมดา ๆ ที่สร้างทีม เช่นคุยเล่นหน้าห้องประชุมเดินไปซื้อกาแฟด้วยกันระบายเรื่องงานแบบสด ๆ


โครงสร้างแบบกระจายตัวทำให้พวกเขาต้องพึ่งพาตัวเองมากกว่าที่เราคิด


แล้วอะไรคือสิ่งที่ Gen Z มองหา?


ในมุมของคนทำงานต่างรุ่น เราพอจะสรุปได้ชัดเจน 3 เรื่องใหญ่: องค์กรแบบไหน? หัวหน้าแบบไหน? และออฟฟิศแบบไหน? ที่ทำให้พวกเขา “อยากอยู่” จริง ๆ


บริษัทแบบที่ Gen Z อยากทำงานด้วย


1) โปร่งใส ไม่เล่นเกม ไม่ซ่อนกติกา


Gen Z เติบโตมากับข้อมูลพวกเขารู้ทันระบบที่ไม่แฟร์ตั้งแต่ยังไม่เข้าประตูบริษัท

องค์กรที่พูดตรง ทำจริง วัดเรื่องผลงาน ไม่ใช่การโผล่หน้าคือองค์กรที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่าชีวิตมีค่า


2) ให้ความเป็นมนุษย์กับพนักงานอย่างเท่าเทียม


แค่บอกว่า “พักได้” ไม่พอต้องทำให้เห็นว่า “เลิกงานแล้วคือเลิกจริง”

ในยุค Always-On องค์กรที่กล้าบอกว่า “ไม่ต้องออนไลน์ทั้งวัน” คือองค์กรที่ได้รับความไว้วางใจทันที


3) มีเส้นทางเติบโตจริง ไม่ใช่ทำเท่ๆ


Gen Z พร้อมทำงานหนัก ถ้ามันพาพวกเขาไปข้างหน้าพวกเขามองหา

  • โอกาสเรียน

  • โอกาสลอง

  • โอกาสพัฒนา

  • โปรเจกต์ที่ได้พิสูจน์ของจริง


องค์กรไหนให้พื้นที่ ก็ได้ใจพวกเขาแบบยาว ๆ


หัวหน้าแบบที่ Gen Z พร้อมเดินด้วย


1) ชัดเจน ตรงไปตรงมา และไม่ทำให้ลูกน้องต้องเดา


คนรุ่นใหม่ไม่ได้กลัวงานแต่กลัว “ไม่รู้ว่าต้องทำอะไร”

หัวหน้าที่สื่อสารดี = ลดภาระในหัวของลูกน้องทันที


2) เปิดใจรับฟัง แต่ไม่ล้ำเส้น


Gen Z ต้องการหัวหน้าที่เข้าถึงได้ ไม่ใช่เข้ามามากเกินไปพวกเขาชอบคนที่

  • ฟังเป็น

  • ไม่ judge

  • เคารพเวลาส่วนตัว

  • ไม่คิดว่าการตอบช้า = ขาดความรับผิดชอบ


หัวหน้าที่เคารพพื้นที่ = ลูกน้องให้ใจ


3) เป็น Coach มากกว่าเป็นเจ้านาย


Gen Z ต้องการคนที่ช่วยเปิดวิสัยทัศน์ไม่ใช่คนที่กลัวว่าลูกน้องจะเก่งกว่า

หัวหน้าหนึ่งคนสามารถเปลี่ยน entire career ของลูกทีมได้ Gen Z รู้เรื่องนี้ดี และมองหาคนแบบนี้อย่างจริงจัง


สถานที่ทำงานแบบที่ทำให้ Gen Z “อยากเข้าออฟฟิศ”


1) เลือกโหมดได้ตามงาน ไม่จำกัดแค่โต๊ะเดียว


Gen Z ทำงานแบบสลับโหมดออฟฟิศจึงต้องมีหลายโซน

  • โซนเงียบให้โฟกัส

  • โซนคุยงานเบา ๆ

  • โซนสร้างไอเดีย

  • โซน community ที่ทำให้รู้สึกเป็นทีม


พื้นที่ที่ดี = พลังงานที่ดี


2) ความปลอดภัยและสุขภาพพื้นฐานต้องมาเป็นอันดับแรก


คนรุ่นใหม่ใส่ใจอากาศ สภาพแวดล้อม และความสะอาดเพราะโตมาในยุคที่ภัยด้านสุขภาพเป็นจริงใกล้ตัว

ออฟฟิศที่ “รู้สึกปลอดภัย”มีค่ามากกว่าออฟฟิศที่ “สวยสำหรับลงโซเชียล”


3) พื้นที่ที่ให้เป็นตัวเองได้โดยไม่ถูกมองแปลก


แต่งตัวได้ในแบบที่ใช่มีพื้นที่พักใจบรรยากาศไม่ตึงไม่มีพิธีรีตองมากเกินไป

Gen Z อยากเข้าออฟฟิศที่รู้สึกเหมือน “พื้นที่สำหรับมนุษย์จริง ๆ”


4) เทคโนโลยีต้องลื่น ไม่ถ่วง ไม่สร้างความหงุดหงิด


ไม่ต้องหรู แต่ต้องไม่พังไม่ต้องแพง แต่ต้องใช้งานง่าย

Gen Z ชอบออฟฟิศที่เทคโนโลยี “เป็นเพื่อนร่วมทีม” ไม่ใช่ “อุปสรรคในชีวิตประจำวัน”


บทสรุปจากมุมมองของคนต่างรุ่น


คนรุ่นใหม่ไม่กลัวงานแต่กลัวระบบที่ไม่แฟร์กลัวอนาคตที่ไม่แน่นอนและกลัวการถูกมองไม่เห็นในโลกที่หมุนเร็วกว่าชีวิตจริงหลายเท่า


Always-On Era ทำให้ทุกคนเหนื่อยแต่ Gen Z เหนื่อยเป็นพิเศษ เพราะโลกที่พวกเขาโตมานั้นไม่เคยมีปุ่ม Pause


ในฐานะคนต่างเจเนอเรชัน เราเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ใช่ออฟฟิศหรูไม่ใช่สวัสดิการเวอร์วังไม่ใช่คำชมสวยหรู


แต่คือความเป็นมนุษย์ ความยุติธรรม โอกาสเติบโต และพื้นที่ที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยที่จะเป็นตัวเอง


ถ้าองค์กรไหนให้สิ่งเหล่านี้ได้ Gen Z จะไม่ใช่แค่ “อยู่”แต่จะ “เติบโต” และ “สร้างอนาคตให้บริษัท” แบบเหนือความคาดหมาย 💛✨

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page