Broken Windows Theory กับงานบริหารอาคาร
- Chakrapan Pawangkarat
- Sep 27
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
27 September 2025

บทความนี้นำเสนอการประยุกต์ใช้ Broken Windows Theory ซึ่งเป็นทฤษฎีทางอาชญาวิทยาที่เสนอโดย Wilson และ Kelling (1982) มาสู่บริบทของงานบริหารอาคาร (Property Management) โดยชี้ให้เห็นว่า “ความละเลยในรายละเอียดเล็ก ๆ” เช่น ความชำรุดเล็กน้อย ความไม่สะอาด หรือการขาดการดูแลอย่างต่อเนื่อง สามารถนำไปสู่การรับรู้ด้านลบ ความไม่พึงพอใจของผู้ใช้อาคาร และการลดลงของมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว บทความนี้แบ่งการวิเคราะห์ออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ (1) ทฤษฎีและกรอบแนวคิด (2) การประยุกต์ใช้ในงานบริหารอาคาร และ (3) บทเรียนเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้จัดการอาคาร
1. บทนำ
การบริหารอาคารเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ครอบคลุมทั้งด้านวิศวกรรม ความปลอดภัย การให้บริการ และการสร้างคุณค่าเชิงธุรกิจ ในกระบวนการดังกล่าว การละเลยปัจจัยเล็กน้อยอาจก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบต่อทั้งประสบการณ์ผู้ใช้อาคารและมูลค่าทรัพย์สิน Broken Windows Theory เป็นกรอบแนวคิดที่ช่วยอธิบายปรากฏการณ์นี้ โดยชี้ให้เห็นว่าการละเลยความไม่เป็นระเบียบเล็ก ๆ สามารถส่งผลต่อความรับรู้ ความประพฤติ และพฤติกรรมของผู้ใช้อาคารได้
2. ทฤษฎีและกรอบแนวคิด
Broken Windows Theory ถูกเสนอครั้งแรกโดย Wilson และ Kelling (1982) โดยตั้งข้อสังเกตว่า พื้นที่ใดก็ตามที่มีสัญญาณของความเสื่อมโทรม เช่น หน้าต่างแตก กำแพงเต็มไปด้วยกราฟฟิตี้ หรือขยะที่ไม่ได้รับการเก็บกวาด จะทำให้ผู้คนมองว่าพื้นที่นั้น “ไม่มีใครดูแล” ซึ่งอาจนำไปสู่พฤติกรรมไม่เหมาะสมและอาชญากรรมในที่สุด
เมื่อปรับใช้ในมิติของงานบริหารอาคาร ทฤษฎีนี้สามารถตีความได้ว่า “สัญญาณแห่งการละเลย” ไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด จะสะท้อนถึงคุณภาพการจัดการโดยรวม และสามารถลดความเชื่อมั่น ความพึงพอใจ และความภักดีของผู้ใช้อาคารลงได้
3. การประยุกต์ใช้ในงานบริหารอาคาร
3.1 มิติด้านกายภาพ (Physical Environment)
การซ่อมบำรุงที่ล่าช้า เช่น หลอดไฟที่ดับ ผนังที่มีรอยแตก หรือพื้นที่ที่ไม่ได้รับการทำความสะอาด → ส่งสัญญาณว่าอาคารขาดการดูแล
การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (Preventive Maintenance) ช่วยสร้างความมั่นใจว่าปัญหาเล็กน้อยจะไม่ลุกลาม
3.2 มิติด้านความปลอดภัยและการรักษาความมั่นคง (Safety & Security)
กล้องวงจรปิดที่ชำรุดหรือไฟส่องสว่างที่ไม่เพียงพอ → เพิ่มความรู้สึกไม่ปลอดภัย
ระบบควบคุมการเข้าออกที่ไม่ทำงาน → บั่นทอนความมั่นใจของผู้เช่าและผู้มาติดต่อ
3.3 มิติด้านประสบการณ์ผู้ใช้อาคาร (User Experience)
ล็อบบี้และพื้นที่ส่วนกลางที่สะอาดและเป็นระเบียบ → สร้างภาพลักษณ์ที่ดีตั้งแต่ “First Impression”
การจัดการเชิงพฤติกรรม เช่น ป้ายสื่อสารเชิงบวก → ส่งผลให้ผู้ใช้อาคารปฏิบัติตามกฎระเบียบโดยสมัครใจ
3.4 มิติด้านธุรกิจและมูลค่าทรัพย์สิน (Business & Asset Value)
อาคารที่มีสภาพแวดล้อมดี → สามารถเก็บค่าเช่าในระดับสูงกว่า (Premium Rent)
ความพึงพอใจของผู้เช่า → ลดอัตราการย้ายออก (Vacancy Rate) และเพิ่มความต่อเนื่องในการเช่า
นักลงทุนและเจ้าของอาคาร → มีความเชื่อมั่นต่อศักยภาพการสร้างผลตอบแทนในระยะยาว
4. กรณีศึกษาเชิงสมมติ
กรณีที่ 1: อาคารสำนักงานในย่าน CBD
โถงลิฟต์ที่ไฟกะพริบและผนังมีรอยสกปรก แม้ระบบอาคารจะมีมาตรฐานสูง แต่ผู้เช่ากลับรู้สึกว่าอาคาร “ไม่ปลอดภัย” และไม่สะดวกสบาย ทำให้ผู้เช่าตัดสินใจย้ายออกหลังครบสัญญา
กรณีที่ 2: คอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม
สระว่ายน้ำที่มีคราบตะไคร่และห้องฟิตเนสที่มีอุปกรณ์ชำรุด ส่งผลให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกว่าค่าส่วนกลางไม่คุ้มค่า → ภาพลักษณ์โครงการเสื่อมลงและอัตราการขายต่อ (Resale Value) ลดลง
กรณีที่ 3: ศูนย์การค้า Mixed-use
พื้นที่จอดรถที่สกปรกและมืด ทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกไม่ปลอดภัย ส่งผลทางอ้อมต่อยอดขายของร้านค้าและความน่าสนใจของพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์
5. บทเรียนเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้จัดการอาคาร
การแก้ไขปัญหาเล็กน้อยอย่างทันท่วงที (Quick Response)
ปัญหาเล็ก = ภาพลักษณ์ใหญ่
ระบบรายงานที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Reporting System)
การใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันหรือ QR Code เพื่อให้ผู้ใช้อาคารแจ้งเหตุได้รวดเร็ว
การตรวจสอบเชิงรุก (Proactive Inspection)
การตรวจสอบประจำสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อลดความเสี่ยงจากการละเลย
การสื่อสารเชิงบวก (Positive Communication)
ใช้ข้อความที่สร้างแรงจูงใจ เช่น “ขอบคุณที่ช่วยกันรักษาความสะอาด” แทนการใช้ถ้อยคำเชิงบังคับ
การประเมินผล (Performance Measurement)
การติดตามสถิติการซ่อมแซมเล็กน้อยและความพึงพอใจของผู้เช่า เพื่อนำมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์
6. สรุป
Broken Windows Theory แสดงให้เห็นว่า “สิ่งเล็ก ๆ ไม่ใช่เรื่องเล็ก” ในงานบริหารอาคาร การละเลยรายละเอียดเพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่การรับรู้เชิงลบ ความไม่พึงพอใจของผู้เช่า และการลดลงของมูลค่าทรัพย์สิน ดังนั้นผู้จัดการอาคารจึงควรนำกรอบแนวคิดนี้มาใช้เป็นเครื่องมือเชิงกลยุทธ์ในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย มีคุณภาพ และยั่งยืน


