top of page

🏗️ From Maintenance to Value Creation : เมื่อการบริหารอาคารไม่ใช่แค่การดูแลให้อยู่ได้ แต่คือการขับเคลื่อนให้เติบโต

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

13 October 2025


ree

1. ถึงเวลานิยามใหม่ของ “การบริหารอาคาร”


หากเราย้อนดูนิยามของคำว่า Property Management ในอดีต จะพบว่ามันผูกอยู่กับ “การดูแลให้อาคารใช้งานได้” ให้ไฟติด น้ำไหล ลิฟต์ทำงาน และระบบต่าง ๆ หมุนไปตามหน้าที่ — ไม่มีปัญหา ไม่มีเสียงร้องเรียน


แต่นั่นเป็นเพียง “ระดับพื้นฐานของความคาดหวัง”


วันนี้ อาคารกลายเป็นสินทรัพย์ที่มีชีวิตมันสะท้อนคุณค่าขององค์กร สื่อสารแบรนด์ของเจ้าของ และส่งผลต่อความพึงพอใจของผู้เช่าโดยตรง การบริหารอาคารจึงไม่ใช่งานสนับสนุนอีกต่อไป แต่คือ งานเชิงกลยุทธ์ ที่มีผลต่อมูลค่าทรัพย์สินในระยะยาว

เราไม่ได้ดูแลอาคารเพื่อให้มัน “อยู่ได้” แต่เพื่อให้มัน “เติบโตได้”

นี่คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนผ่านจาก “Maintenance” สู่ “Value Creation”


2. โลกเปลี่ยนเร็วเกินกว่าที่ Routine จะทัน


โมเดลการดูแลแบบเดิม — ที่ทำซ้ำตามรอบ และแก้ปัญหาเมื่อเกิดเหตุ — ไม่ตอบโจทย์อีกต่อไปเพราะปัจจัยรอบตัวกำลังผลักให้การบริหารอาคารต้อง “คิดลึกขึ้น มองไกลขึ้น และทำเร็วกว่าที่เคย”


🔹 ความคาดหวังของผู้ใช้อาคารสูงขึ้น


คนทำงานในวันนี้ต้องการมากกว่าอาคารที่ใช้งานได้ พวกเขาต้องการ คุณภาพชีวิตในพื้นที่ทำงานคุณภาพอากาศ แสง เสียง ความปลอดภัย และความสะดวกสบาย ล้วนกลายเป็นเกณฑ์วัดความพึงพอใจ

อาคารจึงไม่ใช่แค่ “ที่ทำงาน” แต่เป็น “ประสบการณ์การทำงาน”และ Property Manager ต้องเข้าใจสิ่งนี้ให้ลึกกว่าใคร


🔹 เจ้าของอาคารต้องการผลตอบแทนระยะยาว


ในตลาดที่มีอาคารใหม่เปิดตัวทุกปี การแข่งขันไม่ได้อยู่ที่ใครสร้างก่อน แต่ใคร “บริหารได้ดีกว่า” เจ้าของอาคารจึงต้องการผู้บริหารที่ช่วย “รักษาและเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน” (Value Growth) ไม่ใช่เพียงลดค่าใช้จ่าย แต่คือการเพิ่มคุณค่าที่ผู้เช่าและตลาดมองเห็นได้จริง


🔹 ความยั่งยืนคือมาตรฐานใหม่


ยุคของ ESG และ Net Zero กำลังเปลี่ยนบทบาทของการบริหารอาคารอย่างสิ้นเชิงเพราะอาคารไม่ได้ถูกวัดแค่เรื่องความสวยงามหรือระบบที่ทำงานได้ แต่ถูกวัดด้วย “คาร์บอนที่ปล่อยออกมา” Property Manager จึงกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในเกมการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน


3. จาก “ช่างซ่อม” สู่ “สถาปนิกคุณค่า”


ภาพของผู้จัดการอาคารที่ถือ Clipboard เดินตรวจงาน คอยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า กำลังถูกแทนที่ด้วยภาพใหม่ — ผู้ออกแบบคุณค่า (Value Architect)


เพราะหัวใจของงานบริหารอาคารไม่ใช่การซ่อมของ แต่คือการ “ออกแบบระบบ” ที่จะทำให้ของไม่ต้องซ่อมซ้ำและไม่ใช่แค่ระบบเครื่องกลไฟฟ้าเท่านั้น แต่รวมถึงระบบคน การสื่อสาร และประสบการณ์ของผู้ใช้อาคารด้วย


💼 มิติของ “ธุรกิจ”: เข้าใจผลตอบแทนและมูลค่า


อาคารแต่ละแห่งคือสินทรัพย์ที่ต้องบริหารให้เกิดผลตอบแทน ผู้จัดการอาคารต้องเข้าใจ ROI ของทุกการตัดสินใจ เช่น

  • การปรับปรุงระบบชิลเลอร์ใหม่อาจใช้เงินลงทุนสูง แต่คืนทุนภายใน 3 ปีจากการลดพลังงาน 25%

  • การเพิ่มระบบ BMS ที่เชื่อมโยงข้อมูลพลังงานและการซ่อมบำรุงอาจเพิ่มประสิทธิภาพทั้งทีม 20%


การคิดเช่นนี้ทำให้ Property Manager กลายเป็น “นักกลยุทธ์” มากกว่า “ผู้ปฏิบัติ”


👥 มิติของ “คน”: ทีมคือพลังขับเคลื่อนคุณค่า


ไม่มีอาคารใดบริหารได้ดีโดยไม่มีทีมที่แข็งแรง Property Manager จึงต้องเป็น “ผู้นำ” ที่สร้างวัฒนธรรมของการเป็นเจ้าของ (Ownership Mindset)


เมื่อทีมช่างไม่รอให้ของเสีย แต่ตรวจเชิงรุกเมื่อแม่บ้านไม่รอให้ร้องเรียน แต่มองเห็นโอกาสพัฒนาเมื่อทุกคนเชื่อว่าการกระทำเล็ก ๆ ของตนมีผลต่อคุณภาพอาคารทั้งระบบ —นั่นคือจุดที่การเติบโตเริ่มเกิดขึ้น


🧠 มิติของ “เทคโนโลยี”: จากข้อมูลสู่การตัดสินใจ


เทคโนโลยีไม่ใช่เครื่องมือที่ต้องมีเพราะ “ใคร ๆ ก็ใช้” แต่มันคือ “กล้องขยาย” ที่ทำให้เรามองเห็นสิ่งที่ตาเปล่ามองไม่เห็น


BMS, CMMS, Energy Dashboard, AI for FM, Digital Twin — ทั้งหมดคือฐานข้อมูลมหาศาลที่บอกเราว่า

  • เครื่องจักรตัวไหนเริ่มมีสัญญาณความเสื่อม

  • พื้นที่ใดใช้พลังงานมากเกินไป

  • พฤติกรรมผู้ใช้อาคารเปลี่ยนไปอย่างไร


เมื่อข้อมูลเหล่านี้ถูกใช้ในการตัดสินใจ เรากำลังเปลี่ยนจาก Reactive → Predictive → Strategic Management


4. จาก Routine ไปสู่ Strategy: บริหารแบบมีเป้าหมาย


งานประจำวันของ Property Manager เต็มไปด้วยรายการตรวจสอบ แต่ความแตกต่างระหว่าง “ผู้จัดการทั่วไป” กับ “ผู้นำในวงการ” คือ วิธีมองรายการนั้น


บางคนมองว่า Checklist คือสิ่งที่ต้องทำให้ครบ แต่คนอีกกลุ่มมองว่า Checklist คือเครื่องมือพัฒนาอาคารในระยะยาว


ตัวอย่างของการเปลี่ยนจาก Routine เป็น Strategy ได้แก่


🔹 Predictive Maintenance

ใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ตรวจจับความผิดปกติ เช่น vibration หรือ temperature ซ่อมก่อนพังจริง ลด downtime และยืดอายุเครื่องจักร


🔹 Performance Analytics

เก็บข้อมูลพลังงานและพฤติกรรมการใช้พื้นที่ เพื่อตั้งเป้า Energy Intensity หรือ Water Use Efficiency สร้าง KPI ที่สะท้อนความยั่งยืน เช่น Carbon per occupant


🔹 Experience Design

ออกแบบ “การใช้ชีวิตในอาคาร” ให้ราบรื่นและน่าประทับใจจากบริการที่ตอบสนองไว ไปจนถึงระบบแสงและอากาศที่ทำให้พนักงานรู้สึกดีทุกวัน


ทั้งหมดนี้คือการเปลี่ยนจาก “ทำให้ใช้ได้” เป็น “ทำให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นทุกปี”


5. Value Growth: มุมมองของเจ้าของและผู้เช่า

การเติบโตของอาคารไม่ได้เกิดจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่เกิดจาก “ความเข้าใจร่วมกันระหว่างเจ้าของและผู้เช่า”


🏢 เจ้าของอาคาร

ต้องการผลตอบแทนที่มั่นคงและมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้น Property Manager ที่เข้าใจมุมมองนี้จะบริหารต้นทุนอย่างชาญฉลาดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น และลงทุนในสิ่งที่เพิ่มผลตอบแทนระยะยาว


👩‍💼 ผู้เช่า

ต้องการความสบายใจ ความปลอดภัย และบริการที่เป็นมิตรเมื่อพวกเขารู้สึกดี พวกเขาจะอยู่ต่อ บอกต่อ และสร้างชื่อเสียงให้กับอาคารโดยไม่รู้ตัว


🤝 Shared Value

เมื่อทั้งสองฝ่ายเห็นคุณค่าเดียวกัน — อาคารก็จะเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะการบริหารอาคารที่ดีไม่ใช่การชนะของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแต่คือ “การเติบโตของทุกฝ่ายในระบบเดียวกัน”


6. วัฒนธรรมการบริหารที่ขับเคลื่อนด้วยคุณค่า


ไม่มีเทคโนโลยีใดแทนที่ “วัฒนธรรมทีม” ได้ หัวใจของการสร้างอาคารที่เติบโต คือการปลูกฝังวัฒนธรรม Value-Driven


Property Manager ต้องเป็นผู้นำที่สื่อสารกับทีมว่า

  • เราไม่ได้ซ่อมเพราะมีใบแจ้งงาน แต่ซ่อมเพราะต้องการยกระดับคุณภาพ

  • เราไม่ได้ทำ PM เพราะเป็นหน้าที่ แต่เพราะมันลดความเสี่ยงของระบบ

  • เราไม่ได้ตรวจเพราะกลัวปัญหา แต่เพราะอยากให้ผู้เช่าอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่าเดิม


เมื่อทีมเข้าใจ “เหตุผลเบื้องหลังการกระทำ” ทุกการกระทำก็มีพลัง


7. การบริหารเชิงรุก: จากผู้ตามสู่ผู้ขับเคลื่อน


ในยุคที่อาคารถูกวัดผลด้วย Data และมาตรฐาน ESG ผู้จัดการอาคารที่รอรับคำสั่งจะค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยคนที่ “เสนอแนวทางล่วงหน้า”


การบริหารเชิงรุก (Proactive Management) ไม่ได้หมายถึงแค่การป้องกันปัญหาแต่คือการมองเห็นโอกาสก่อนคนอื่น เช่น

  • เสนอแนวทางปรับปรุงระบบให้ผ่านเกณฑ์ TREES / LEED

  • ประเมินโอกาสในการใช้พลังงานหมุนเวียนในพื้นที่ที่มีศักยภาพ

  • ใช้ข้อมูลซ่อมบำรุงวิเคราะห์แนวโน้มเพื่อปรับแผนงบประมาณล่วงหน้า


สิ่งเหล่านี้คือ “กลยุทธ์การสร้างมูลค่า” ไม่ใช่แค่ “ภารกิจซ่อมบำรุง”


8. Reinventing Property Management: จุดเปลี่ยนของวงการ


การปฏิรูปวงการบริหารอาคารไม่จำเป็นต้องเริ่มจากงบประมาณมหาศาลแต่เริ่มจาก การตั้งคำถามใหม่

  • อาคารที่เราดูแล มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปีหรือไม่

  • ทีมของเราเข้าใจเป้าหมายเดียวกันหรือยัง

  • เราใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีช่วยตัดสินใจมากแค่ไหน

  • สิ่งที่เราทำทุกวัน ช่วยให้ผู้เช่าและเจ้าของ “อยู่ดีขึ้น” หรือไม่


เมื่อคำถามเหล่านี้ถูกถามซ้ำในทุกวันคำตอบจะค่อย ๆ เปลี่ยนวัฒนธรรมของการบริหารอาคารทั้งระบบ


9. สู่อนาคตของการบริหารอาคาร


อนาคตของวงการนี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีใด แต่ขึ้นอยู่กับ “วิธีคิดของคนที่บริหารมัน ”Property Management ในอีกสิบปีข้างหน้าจะถูกวัดด้วย

  • ความยั่งยืน: อาคารที่มีคาร์บอนต่ำและใช้พลังงานอย่างชาญฉลาด

  • ประสบการณ์ผู้ใช้อาคาร: สถานที่ที่ผู้คนรู้สึกดีและภูมิใจที่ได้อยู่

  • คุณค่าทางธุรกิจ: ทรัพย์สินที่สร้างผลตอบแทนได้แม้ในสภาวะตลาดเปลี่ยน


ใครที่ยังติดอยู่ในกรอบของ “Routine Maintenance” จะค่อย ๆ ถูกกลืนหายไปโดยองค์กรที่ “ มองอาคารเป็น Ecosystem ของคุณค่า”


10. บทสรุป: Let’s Redefine Property Management Together


โลกไม่ต้องการผู้จัดการอาคารที่เพียงทำให้ระบบเดินได้แต่มันต้องการ “ผู้นำที่สร้างระบบให้เติบโตได้”

เรากำลังก้าวสู่ยุคที่อาคารฉลาดขึ้น ผู้ใช้อาคารคาดหวังมากขึ้นและโลกต้องการให้เราบริหารด้วยความยั่งยืนมากขึ้น


ถึงเวลาที่เราจะร่วมกันนิยามใหม่ว่า —

เราไม่ได้แค่ทำให้อาคารเดินต่อได้แต่เราทำให้อาคาร “มีคุณค่าเพิ่มขึ้นในทุกวัน”
We don’t just keep things running.We keep value growing.

และนี่คือสารที่แท้จริงของการบริหารอาคารยุคใหม่ —ไม่ใช่เพียง “งานซ่อมบำรุง” แต่คือ “งานสร้างอนาคตของคุณค่า”


🕯️ Because great buildings deserve more than routine maintenance — they deserve leadership, vision, and purpose.

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page