top of page

Sufficiency, Appropriateness, and Sustainability : กรอบคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

3 October 2025


ree

บทนำ


การพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันเผชิญแรงกดดันจากหลายด้าน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้พลังงานที่สูงขึ้น ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ตลอดจนความต้องการใหม่ของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญต่อ ความยั่งยืน (sustainability) และ คุณภาพชีวิต (well-being) มากกว่าที่เคยเป็นมา


ดังนั้น การพัฒนาโครงการยุคใหม่ไม่สามารถใช้กรอบคิดแบบเดิมที่เน้นเพียงผลตอบแทนทางการเงิน แต่จำเป็นต้องมี กรอบคิดสามประการ ได้แก่

  1. Sufficiency – ความพอเพียง

  2. Appropriateness – ความพอดี

  3. Sustainability – ความยั่งยืน


ทั้งสามมิติสามารถบูรณาการเป็น Strategic Framework สำหรับโครงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างทั้ง คุณค่าทางเศรษฐกิจ และ ความมั่นคงในระยะยาว


1. Sufficiency – ความพอเพียง


“พอเพียง” ในเชิงการพัฒนาโครงการ หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างมีเหตุผล ไม่เกินความจำเป็น และคำนึงถึงความเสี่ยงระยะยาว

  • ด้านการออกแบบ: ขนาดโครงการต้องสอดคล้องกับความต้องการตลาดจริง ลดการสร้างพื้นที่ส่วนเกินที่อาจกลายเป็นสินทรัพย์รกร้าง

  • ด้านการใช้วัสดุ: เลือกใช้วัสดุที่มีประสิทธิภาพ ทนทาน รีไซเคิลได้ ลดการสูญเสียพลังงานและทรัพยากรในระยะยาว

  • ด้านการใช้พลังงานและน้ำ: ติดตั้งระบบจัดการที่ชาญฉลาดเพื่อควบคุมการใช้เท่าที่จำเป็น และมีระบบกักเก็บ/หมุนเวียนเพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรใหม่


การมีกรอบความคิด “พอเพียง” จะทำให้โครงการไม่ถูกผลักเข้าสู่ความเสี่ยงจากการลงทุนเกินตัว และสร้างความเชื่อมั่นต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย


2. Appropriateness – ความพอดี


“ความพอดี” คือการสร้าง สมดุล ระหว่าง ผลประโยชน์ทางธุรกิจ และ คุณภาพชีวิตของผู้ใช้โครงการ

  • พื้นที่ใช้สอย: ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เหมาะสมต่อการใช้งานจริง ไม่สิ้นเปลือง แต่ยังตอบโจทย์ความสะดวกสบายและสังคมเมือง

  • เทคโนโลยีและระบบอาคาร: ลงทุนใน BMS, IoT, AI เพื่อการจัดการพลังงานและความปลอดภัยอย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะลงทุนเพื่อการประชาสัมพันธ์เพียงอย่างเดียว

  • โครงสร้างราคา: ตั้งราคาขายและเช่าที่สอดคล้องกับศักยภาพของตลาดเป้าหมาย เพื่อสร้างอัตราการครองพื้นที่ที่มั่นคงและยั่งยืน


ความพอดีทำให้โครงการสามารถรักษาความน่าสนใจเชิงธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็ไม่สร้างภาระเกินไปต่อผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม


3. Sustainability – ความยั่งยืน


เป้าหมายสูงสุดของโครงการใหม่ต้องอยู่ที่ การดำรงอยู่ในระยะยาว โดยสามารถปรับตัวต่อความเปลี่ยนแปลงทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และสังคม

  • พลังงานสะอาดและคาร์บอนต่ำ: ติดตั้งระบบพลังงานหมุนเวียน เช่น Solar PV, EV Charging, District Cooling เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

  • การจัดการน้ำและสิ่งแวดล้อม: ใช้แนวคิด Sponge City เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศสุดขั้ว

  • Biophilic & Green Design: ผสานพื้นที่สีเขียวและระบบนิเวศเข้ากับอาคารเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตและสุขภาวะ

  • Smart Property Management: ใช้ข้อมูลดิจิทัล (CMMS, Digital Twin) เพื่อยืดอายุการใช้งานอาคารและลดต้นทุนการบำรุงรักษา


4. ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์สำหรับนักพัฒนาโครงการ


  1. กำหนด KPI สามมิติ: เศรษฐกิจ (Economic Return), สังคม (Social Well-being), และสิ่งแวดล้อม (Environmental Resilience)

  2. ลงทุนเพื่อการประหยัดระยะยาว: เน้นการลงทุนที่ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานในอนาคต มากกว่าการมองเฉพาะ ROI ระยะสั้น

  3. การออกแบบแบบมีส่วนร่วม (Participatory Design): ดึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ชุมชน และผู้ใช้งานจริง เข้ามาในกระบวนการออกแบบตั้งแต่ต้น

  4. ตั้งเป้าหมาย Net Zero Carbon: กำหนดระยะเวลาและกลยุทธ์อย่างชัดเจนภายใน 20–30 ปีข้างหน้า

  5. ยกระดับทีมพัฒนา: ฝึกอบรมบุคลากรให้เข้าใจความหมายของ Sufficiency – Appropriateness – Sustainability และนำไปปฏิบัติได้จริง


บทสรุป

การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในศตวรรษที่ 21 ต้องเปลี่ยนจากการเป็นเพียง “โครงการที่สร้างขึ้นเพื่อขาย” ไปสู่การเป็น “โครงการที่สร้างขึ้นเพื่ออนาคต”


กรอบคิด Sufficiency – Appropriateness – Sustainability จะทำให้โครงการใหม่ไม่เพียงตอบสนองความต้องการตลาด แต่ยังสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาว สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงทุน และมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเมืองที่ resilient และน่าอยู่สำหรับคนรุ่นถัดไป

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page