top of page

การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของการบริหารอาคารในกรุงเทพฯ: เมื่อกฎเกณฑ์ด้านสภาพภูมิอากาศกำลังกำหนดอนาคตตลาดอสังหาฯ เมืองใหญ่

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

2 December 2025


ree

การบริหารอาคารในกรุงเทพฯ กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ขณะที่เมืองชั้นนำทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจากยุคประกาศเจตนารมณ์สู่ยุคการบังคับใช้มาตรการด้านสภาพภูมิอากาศอย่างเข้มงวด แม้กรุงเทพฯ จะยังไม่มีกฎควบคุมด้านประสิทธิภาพอาคารที่เข้มข้นแบบนิวยอร์ก ลอนดอน หรือปารีส แต่ทิศทางระดับสากลและแรงกดดันด้านสิ่งแวดล้อมกำลังบ่งบอกชัดเจนว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กำลังมาถึงอุตสาหกรรมบริหารอาคารในมหานครใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้


คลื่นกฎระเบียบโลกกำลังเคลื่อนตัวมาถึงกรุงเทพฯ


ทั่วโลก เมืองใหญ่ต่างผลักดันการลดการปล่อยคาร์บอนด้วยการ “จัดการที่อาคาร” เป็นจุดเริ่มต้น เพราะกว่า 60% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในเขตเมืองมาจากอาคารโดยตรง คลื่นการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มส่งแรงสะเทือนมายังกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงที่เมืองเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีบริษัทข้ามชาติรวมถึงกองทุนอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


กฎระเบียบสำคัญ 3 ประเภทที่เมืองระดับโลกกำลังบังคับใช้ และผู้บริหารอาคารในกรุงเทพฯ ควรเตรียมตัวตั้งแต่วันนี้ ได้แก่


  1. มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานและคาร์บอนแบบบังคับใช้จริง,

  2. ข้อกำหนดด้านการใช้พลังงานไฟฟ้าแทนพลังงานฟอสซิล (Electrification), และ

  3. มาตรการเสริมความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience)


แม้กรอบกฎหมายไทยยังไม่เข้มงวดเท่าต่างประเทศ แต่แรงกดดันจากผู้เช่าระดับนานาชาติและนักลงทุนโลกกำลังกำหนดมาตรฐานใหม่ให้กับอาคารในกรุงเทพฯ โดยปริยาย


ประสิทธิภาพพลังงาน: คลื่นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่ที่สุด


ประเด็นที่มีผลกระทบมากที่สุดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคือ “มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานอาคารแบบมีบทลงโทษ” ขณะนี้มี 31 เมืองทั่วโลกบังคับใช้กฎหมายควบคุมพลังงานหรือการปล่อยคาร์บอน พร้อมค่าปรับสำหรับอาคารที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ตัวอย่างสำคัญคือกฎหมาย Local Law 97 ของนิวยอร์ก ที่ครอบคลุมอาคารกว่า 23,000 แห่ง และกำหนดให้ลดการปล่อยคาร์บอนอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2030


สำหรับกรุงเทพฯ ความเปลี่ยนแปลงนี้กำลังเริ่มขึ้นแล้วโดยไม่ต้องรอกฎหมาย เพราะผู้เช่าระดับโลกที่เข้ามาในตลาดกำลังคัดเลือกอาคารที่ “พิสูจน์ได้ว่ามีประสิทธิภาพ” ผ่านระบบมอนิเตอร์พลังงาน การวัดผล และการอัปเกรดอุปกรณ์อย่างต่อเนื่อง


ผลลัพธ์ชัดเจน: อาคารที่ประหยัดพลังงานให้ผลตอบแทนทางการเงินดีกว่า ทั้งค่าเช่าสูงกว่า ผู้เช่าคุณภาพดีขึ้น และมูลค่าสินทรัพย์แข็งแรงกว่า ในตลาดออฟฟิศกรุงเทพฯ ที่แข่งขันสูง การบริหารพลังงานกำลังกลายเป็น “จุดชี้เป็นชี้ตาย” ในกลุ่มอาคารพรีเมียม


การใช้พลังงานไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียน: โอกาสใหม่ของกรุงเทพฯ


แม้ระบบไฟฟ้าของไทยจะยังไม่สะอาดเท่าประเทศนอร์ดิกที่ใช้พลังงานหมุนเวียนเกือบ 100% แต่ทิศทางกำลังมุ่งไปในทางเดียวกัน—พลังงานสะอาดมากขึ้นทุกปี รัฐบาลก็มีนโยบายเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนอย่างจริงจัง ซึ่งเปิดทางให้อาคารค่อยๆ เปลี่ยนไปสู่ระบบไฟฟ้าที่ปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า


ผู้บริหารอาคารควรเริ่ม สำรวจระบบเครื่องกลที่ใช้เชื้อเพลิงในปัจจุบัน และวางแผนการเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้าในอนาคต รวมถึงประเมินทางเลือกสำหรับติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนอาคาร ซึ่งถือเป็นจุดแข็งของไทย แม้ความหนาแน่นของเมืองจะเป็นข้อจำกัด แต่เมืองใหญ่อย่างฮัมบูร์กก็เริ่มบังคับติดโซลาร์บนอาคารใหม่เกือบทุกหลังแล้ว


ความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศ: โจทย์เร่งด่วนที่สุดของกรุงเทพฯ


ในบรรดาความท้าทายทั้งหมด เรื่องที่กระทบกรุงเทพฯ เด่นชัดที่สุดคือ น้ำท่วม ความร้อนจัด และฝนที่แปรปรวน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อระบบอาคารโดยตรง ตั้งแต่ต้นทุนเดินระบบไปจนถึงความปลอดภัยของผู้ใช้อาคาร


ต่างจากไมอามีหรือเมืองชายฝั่งอื่นๆ ที่มีกฎเข้มงวดด้านการยกระดับพื้นอาคารและโครงสร้างป้องกันน้ำท่วม กรุงเทพฯ ยังพึ่งพามาตรการ “สมัครใจ” เป็นหลัก ดังนั้นผู้บริหารอาคารต้อง ลงมือก่อน เพื่อปกป้องทั้งทรัพย์สินและมูลค่าอาคาร


แผนบริหารความเสี่ยงควรรวมถึง

  • ระบบป้องกันน้ำท่วมและเครื่องสูบน้ำสำรอง

  • แผนรับมือคลื่นความร้อนและปรับปรุงประสิทธิภาพการทำความเย็น

  • โครงสร้างสำรองเพื่อความต่อเนื่องทางธุรกิจ

  • การเพิ่มพื้นที่สีเขียวและการจัดการความร้อนแบบเดียวกับที่ปารีสทำ


ความร้อนจัดในกรุงเทพฯ จะกลายเป็น “ดัชนีชี้คุณภาพอาคาร” ในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


โอกาสทางการเงินและต้นทุนเงินทุนที่เปลี่ยนไป


ตลาดการเงินโลกกำลังไหลไปสู่สินทรัพย์ที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมชัดเจน แม้ตลาดการเงินสีเขียวของไทยจะยังอยู่ในช่วงพัฒนา แต่ผู้ลงทุนต่างชาติและธนาคารระดับโลกให้ความสำคัญกับอาคารที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและมีความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง


ผู้บริหารอาคารที่ลงทุนก่อน มีโอกาสเข้าถึง

  • เงินกู้ต้นทุนต่ำ

  • เงินทุนระหว่างประเทศ

  • เครื่องมือทางการเงินประเภท Sustainability-linked


ทั้งหมดนี้เป็นแต้มต่อสำคัญในตลาดอสังหาเชิงพาณิชย์ยุคใหม่


กลยุทธ์ลงมือทำสำหรับผู้บริหารอาคารในกรุงเทพฯ


เส้นทางที่เหมาะสมคือการเดินแบบ “ทีละขั้น” แต่ต่อเนื่อง ได้แก่

  1. ตรวจสอบพลังงานและจัดทำฐานข้อมูลให้ชัดเจน

  2. จัดลำดับอัปเกรดที่ให้ผลตอบแทนเร็ว

  3. วางแผนอัปเกรดระบบใหญ่สำหรับอนาคตของการ Electrification

  4. สื่อสารกับผู้เช่าและพัฒนาความร่วมมือด้านความยั่งยืน

  5. พิจารณารับรองมาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล


ตลาดในกรุงเทพฯ จะให้รางวัลกับอาคารที่ “แสดงให้เห็น” ความเป็นผู้นำด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่แค่ประกาศไว้ในเอกสาร


เตรียมตัวก่อนกฎหมายเปลี่ยน


กรอบกฎหมายของไทยจะต้องขยับตามโลก ไม่ช้าก็เร็ว ทั้งจากแรงกดดันด้านเศรษฐกิจ การค้า และเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ ผู้บริหารอาคารที่วางโครงสร้างความยั่งยืนตั้งแต่วันนี้จะได้เปรียบเมื่อกฎหมายเริ่มเข้มขึ้น


การติดตามกฎอาคารใหม่ มาตรฐานพลังงาน และข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงการเข้าร่วมเวทีภาครัฐและสมาคมวิชาชีพ จะช่วยให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง


ความได้เปรียบเชิงแข่งขัน: ใครเริ่มก่อน ชนะก่อน


ธุรกิจบริหารอาคารในกรุงเทพฯ กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ ความยั่งยืนไม่ได้เป็น “ของเสริม” อีกต่อไป แต่คือ “ทักษะหลัก” ที่ต้องมี หากต้องการแข่งขันได้ในตลาดอสังหาฯ ระดับภูมิภาค


อาคารที่ลงทุนในประสิทธิภาพพลังงาน พลังงานหมุนเวียน และความทนทานต่อสภาพภูมิอากาศวันนี้ จะได้ประโยชน์ทั้งด้านต้นทุนการดำเนินงาน ความสามารถในการดึงดูดผู้เช่า มูลค่าทรัพย์สิน และการเข้าถึงเงินทุนคุณภาพสูง


คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่ แต่คือ อาคารในกรุงเทพฯ จะปรับตัวเร็วแค่ไหน—and who will lead the change.

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page