top of page

ทัศนคติที่นำไปสู่หายนะในงานบริหารอาคาร

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

2 December 2025


ree

บทเรียนจากเหตุน้ำท่วมหาดใหญ่ ที่สะท้อนความเสี่ยงในอาคารทุกแห่ง


เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่หาดใหญ่ครั้งล่าสุด ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่าทำไมเมืองที่เคยได้รับรางวัลด้านความยืดหยุ่นถึงรับมือไม่ทัน ทำไมระบบที่คิดว่าดีแล้วถึงพังในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงและทำไมหลายครอบครัวถึงไม่มีเวลาแม้แต่จะเคลื่อนย้ายของออกจากบ้าน


เมื่อมองลึกลงไป นักวิชาการด้านภัยพิบัติเห็นสิ่งหนึ่งร่วมกันคือ “ทัศนคติ” ทัศนคติที่ผิดเพียงเล็กน้อย สามารถนำไปสู่ความเสียหายครั้งใหญ่ได้


บทเรียนจากหาดใหญ่จึงเป็น “กระจกสะท้อน” ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในทุกอาคารเพราะไม่ว่าจะเป็นเมืองหรืออาคาร ทั้งสองเป็นระบบที่พึ่งพาการตัดสินใจของมนุษย์เหมือนกัน


1. ทัศนคติที่ผิดในระดับองค์กร


เมื่อความคิดบนโต๊ะประชุมสร้างความเสี่ยงให้ทั้งอาคาร


อาคารหนึ่งหลังมีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมาก ตั้งแต่เจ้าของอาคาร ทีมบริหารอาคาร ผู้รับเหมา ผู้เช่า ไปจนถึงผู้ใช้บริการ การล้มเหลวของระบบจึงไม่ได้เกิดจากเครื่องจักรเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก “วัฒนธรรมการคิด” ภายในองค์กรซึ่งสะท้อนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน


1.1 ทัศนคติ “แก้ปัญหาปลายเหตุ” (Post-disaster Focus)


องค์กรหลายแห่งให้ความสำคัญกับการซ่อมแซมและฟื้นฟูหลังเกิดเหตุแทนที่จะลงทุนกับการป้องกันล่วงหน้า เช่น ระบบเตือนภัย การวิเคราะห์ความเสี่ยง การเตรียมแผนฉุกเฉิน หรือการฝึกซ้อมสถานการณ์จริง


หาดใหญ่คือภาพสะท้อนของความคิดแบบนี้เพราะโฟกัสไปที่การเยียวยาหลังเหตุ มากกว่าการสร้างระบบเตรียมพร้อมเชิงรุก


ผลลัพธ์คือ วงจรซ้ำซาก และอาคารก็เสี่ยงต่อเหตุที่ “ป้องกันได้ตั้งแต่แรก”


1.2 ทัศนคติ “เชื่อในอดีตมากเกินไป” (Past-event Complacency)


ก่อนหาดใหญ่ท่วมหนัก หลายฝ่ายเชื่อว่าโครงสร้างที่มีอยู่เพียงพอ เพราะอิงจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแต่ฝนที่ตกซ้ำตำแหน่งเดิมและปริมาณมากกว่าปกติ ทำให้ระบบรับไม่ไหว


ในอาคารก็เช่นกัน ที่อาจเชื่อว่าน้ำไม่ท่วมสูงกว่าที่เคย เชื่อว่าไฟจะไม่ไหม้ลุกลามใหญ่ เชื่อว่าไฟฟ้าไม่ดับยาวนาน


ความยึดติดกับอดีตทำให้ประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความจริงทั้งที่สภาพอากาศและรูปแบบเมืองไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว


1.3 ทัศนคติ “เพิกเฉยสัญญาณเตือน” (Ignorance of Early Signals)


ในหาดใหญ่ มีสัญญาณล่วงหน้ามากมาย ทั้งข้อมูลฝนหนัก พยากรณ์อากาศ และลักษณะฝนแช่แต่การเตือนกลับไม่เฉียบคมพอ


ในอาคารก็ไม่ต่างกัน BMS อาจแจ้งผิดปกติ มีน้ำซึมในชั้นใต้ดิน ฝนตกหลายวันต่อเนื่อง เครื่องสูบน้ำดับเพลิงมีเสียงผิดปกติ ระดับน้ำใน sump สูงผิดปกติ


สัญญาณเตือนมี แต่อาจไม่ถูกใช้อย่างจริงจัง อาคารจึงอาจแพ้ภัยเพราะ “เห็น แต่ไม่ทำ”


2. ทัศนคติที่ผิดในระดับทีมปฏิบัติการ


เมื่อความคุ้นเคยกลายเป็นความประมาทโดยไม่รู้ตัว


เหตุการณ์หาดใหญ่ทำให้เห็นชัดว่า ความคุ้นชินกับพื้นที่ทำให้หลายคนประเมินความเสี่ยงต่ำจนเกินไป นี่คือจุดอ่อนเดียวกันที่อาจพบในอาคารจำนวนมาก


2.1 ทัศนคติ “ประเมินความเสี่ยงต่ำเกินไป” (Underestimation of Risk)


ประโยคอย่าง ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวก็หาย เคยเป็นแบบนี้มานานแล้ว น้ำคงไม่ขึ้นเร็วหรอก เสียงแบบนี้ของเครื่องสูบน้ำก็เกิดเป็นประจำ


คือรากของความเสียหายหลายเหตุการณ์ในอาคารเพราะทำให้ทีมงานลดความระมัดระวัง และทำให้สัญญาณเล็ก ๆ ถูกมองข้าม


2.2 ทัศนคติ “พึ่งพาภายนอกมากเกินไป” (External Reliance)


ในช่วงวิกฤตหาดใหญ่ หลายหน่วยงานรอความช่วยเหลือจากภายนอกแต่ความช่วยเหลือมักมาช้าในสถานการณ์จริง


อาคารก็เช่นกัน รอผู้เชี่ยวชาญ รอผู้รับเหมา รอเจ้าของอาคาร รอสำนักงานใหญ่ รอช่างจากภายนอก


แต่ในวินาทีแรกของเหตุฉุกเฉิน คนที่อยู่ในอาคารเท่านั้นที่จะรับมือได้ทัน หากทีมงานไม่ขยับ อาคารก็จะเสียหายหนักขึ้นทันที


3. ทัศนคติที่ผิดในระดับผู้ใช้อาคาร


เมื่อผู้ใช้อาคารก็เป็นส่วนหนึ่งของความเสี่ยงโดยไม่รู้ตัว


สิ่งที่เกิดขึ้นในหาดใหญ่สอนว่า ผู้ที่ไม่เชื่อคำเตือนหรือไม่เตรียมตัวล่วงหน้า จะเผชิญความเสียหายหนักที่สุดในอาคารก็เหมือนกัน


3.1 ทัศนคติ “มันไม่เกิดกับเรา” (Optimism Bias)


หลายบริษัทไม่มี BCPไม่ร่วมซ้อมอพยพไม่ย้ายอุปกรณ์สำคัญขึ้นจุดปลอดภัยเพราะคิดว่าคงไม่เกิดเหตุร้าย


แต่เหตุการณ์ไม่เลือกบริษัท ไม่เลือกชั้น ไม่เลือกอาคาร เลือกจุดที่ “มีความเสี่ยงที่สุด” เท่านั้น


3.2 ทัศนคติ “ความปลอดภัยเป็นเรื่องของผู้รับผิดชอบ” (Safety Delegation Bias)


ผู้เช่าหลายรายคิดว่าความปลอดภัยทั้งหมดเป็นหน้าที่ของผู้บริหารอาคาร ไม่ใช่หน้าที่ขององค์กรผู้ใช้อาคารเอง ทำให้การอพยพ การเตือน และการรับมือไม่เป็นไปตามแผน แม้อาคารจะเตรียมระบบมาดีแล้วก็ตาม


4. ความเสี่ยงที่มองไม่เห็นในงานอาคาร


บทเรียนสำคัญจากหาดใหญ่


Invisible Vulnerability หรือความเปราะบางที่มองไม่เห็น คือสิ่งที่ทำให้ความเสียหายลุกลามเพราะมันซ่อนอยู่ในพฤติกรรมมนุษย์ เช่นความเกรงใจไม่กล้ารายงานปัญหา ความกลัวถูกตำหนิ การปิดข่าวเพื่อรักษาภาพลักษณ์ หรือการยึดวิธีเดิมเพราะกลัวการเปลี่ยนแปลง


สิ่งนี้เกิดทั้งในเมืองและในอาคารและเป็นปัจจัยที่ทำให้เหตุการณ์ที่ “ควรควบคุมได้” กลายเป็นเหตุใหญ่โดยไม่จำเป็น


5. วิธีสร้างทัศนคติที่ยืดหยุ่นให้กับอาคาร


Resilient Attitude คือรากฐานของ Resilient Building

  1. ยอมรับความไม่แน่นอน (Acceptance of Uncertainty)

  2. เตรียมพร้อมเชิงรุก (Proactive Preparedness)

  3. ลงทุนระบบที่สำคัญแม้มองไม่เห็น (Invisible Infrastructure Investment)

  4. สร้าง Sense of Ownership ให้ทีมปฏิบัติการ (Operational Ownership)

  5. สร้างวัฒนธรรมการรายงานความเสี่ยงเร็วและตรงไปตรงมา (Transparent Risk Communication)


บทสรุป


เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่แสดงให้เห็นว่า ระบบและเทคโนโลยีไม่สามารถช่วยเมืองได้หากทัศนคติของคนในระบบไม่พร้อม อาคารก็เช่นกันอาคารไม่ได้เสียหายเพราะน้ำท่วมหรือไฟไหม้เพียงอย่างเดียวแต่อาคารเสียหายเพราะ “คนคิดว่ามันจะไม่เกิดขึ้น”


อาคารจะรอดได้ ก็ต่อเมื่อทุกคนในระบบมีทัศนคติที่ถูกต้อง และเตรียมพร้อมก่อนเหตุเสมอ


เครดิต


แนวคิดด้าน Fatal Attitude และความเปราะบางเชิงจิตสังคม ได้รับแรงบันดาลใจจากบทความต้นทางของ ดร.ปาริอ่านต้นฉบับได้ที่ https://www.facebook.com/share/p/17Z6QeJGXh/?mibextid=wwXIfr

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page