🧯 บันไดหนีไฟในตึกสูง – เส้นทางชีวิตที่ไม่ควรถูกละเลย
- Chakrapan Pawangkarat
- Oct 13
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
13 October 2025

ทุกคนรู้ว่าบันไดหนีไฟคือ “ทางหนีไฟ” แต่มีไม่กี่คนที่รู้ว่า บันไดหนีไฟคือ “ห้องนิรภัยแห่งสุดท้ายของชีวิต”
เมื่อเกิดเหตุเพลิงไหม้ในอาคารสูง ควันไฟจะลอยขึ้นอย่างรวดเร็ว และพื้นที่ที่เคยปลอดภัยจะกลายเป็นกับดักในไม่กี่นาที บันไดหนีไฟจึงถูกออกแบบให้เป็น พื้นที่ปลอดภัยที่ต้องปราศจากเปลวไฟและควันไฟโดยสิ้นเชิง — ถ้าส่วนนี้ล้มเหลว ก็หมายถึงระบบป้องกันชีวิตทั้งระบบล้มเหลวด้วย
🔹 พื้นที่ปลอดภัยที่ออกแบบไว้ตั้งแต่ต้น
ตามมาตรฐานสากล เช่น NFPA 101 Life Safety Code มาตรฐานไทย เช่น มาตรฐานวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (วสท.) และข้อกำหนดของกฎหมายไทย บันไดหนีไฟต้องถูกสร้างให้ แยกจากพื้นที่ใช้งานของอาคาร โดยสิ้นเชิง
ผนังต้องเป็น ผนังทนไฟ และห้ามเจาะช่องเปิดใด ๆ นอกจากสำหรับท่อระบบดับเพลิงหรือท่อลมอัดแรงดันเท่านั้น
ทุกพื้นที่ในอาคารต้องสามารถเข้าถึงบันไดหนีไฟได้ภายใน ไม่เกิน 5 นาทีหลังเกิดเหตุเพลิงไหม้
ระยะสัญจรจากจุดใด ๆ ในพื้นที่ถึงบันไดหนีไฟต้อง ไม่เกิน 30-45 เมตร เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถหนีได้ทันเวลา
🚪 ประตูบันไดหนีไฟ – จุดเล็กที่สำคัญที่สุด
หัวใจของบันไดหนีไฟอยู่ที่ “ประตู” เพราะถ้าประตูไม่ปิดสนิท ควันก็สามารถรั่วไหลเข้าไปได้ทันที
ข้อกำหนดสำคัญของประตูหนีไฟ:
ต้องเป็น ประตูทนไฟ (Fire Door)
ต้องมี ซีลกันควัน (Smoke Seal) รอบวงกบ
ต้องมี Closer ทำให้ประตูปิดเองโดยอัตโนมัติ และต้องอยู่ในสภาพ “ปิดตลอดเวลา”
ในหลายอาคาร ผู้ใช้งานมักนำไม้หรือกล่องมาขัดประตูไว้เพื่อให้เปิดค้าง เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะจะเปิดทางให้ควันไฟเข้าบันไดได้โดยตรง
ถ้าต้องการเปิดไว้จริง ๆ เช่น เพื่อให้สัญจรระหว่างพื้นที่ใช้งานและบันไดสะดวกขึ้น ต้องใช้ แม่เหล็กไฟฟ้าดูดประตูไว้ และเมื่อเกิดเหตุไฟไหม้ ระบบจะตัดไฟจากแม่เหล็กทันที ทำให้ประตูปิดอัตโนมัติ
🌬️ ระบบอัดความดัน (Pressurized Staircase) – เกราะกันควัน
แม้ประตูปกติจะปิดสนิท ควันก็ยังสามารถเล็ดรอดเข้ามาได้จากชั้นที่เกิดไฟไหม้ตอนมีคนเปิดหนีไฟ ดังนั้นจึงต้องมี ระบบอัดความดันบันไดหนีไฟ ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อได้รับสัญญาณจากระบบแจ้งเหตุเพลิงไหม้
หลักการคือ “อัดลมสะอาดเข้าไปในบันไดหนีไฟ” ให้ความดันสูงกว่าภายนอก เพื่อป้องกันไม่ให้ควันเข้ามา และให้มีลมสวนกันควันตอนมีการเปิดประตูในชั้นที่ไฟไหม้
และต้องมี Smoke Detector ตรวจจับควันบริเวณช่องดูดอากาศของพัดลม หากมีควัน พัดลมต้องหยุดทันที เพื่อไม่ดูดควันอัดเข้ามาภายในบันไดหนีไฟ
💡 แสงสว่างในยามวิกฤต
เมื่อเกิดไฟไหม้ ระบบไฟหลักของอาคารมักดับลงบันไดหนีไฟจึงต้องมี ไฟส่องสว่างฉุกเฉิน (Emergency Lighting) ที่ต่อกับแบตเตอรี่สำรอง เพื่อให้มองเห็นทางได้แม้ในความมืดสนิท
รวมถึง ทางเดินที่นำไปสู่บันไดหนีไฟ (Exit Access) เช่น โถงทางเดินหรือคอร์ริดอร์ ต้องมีผนังทนไฟ และไม่มีช่องเปิดที่ควันจะรั่วเข้ามาได้ง่าย เช่น หน้าต่างโล่ง
🚶 ทางออกสุดท้ายต้อง “ออกจริง”
เส้นทางสุดท้ายของการอพยพคือ Exit Discharge — จุดที่บันไดหนีไฟออกสู่ภายนอกกฎหมายกำหนดชัดว่า
ประตูชั้นล่างสุดต้อง เปิดออกตามทิศทางการหนีภัย
ต้องนำไปสู่ พื้นที่ปลอดภัยหรือถนนสาธารณะ
ห้ามออกไปสู่ห้องปิด เช่น ห้องเก็บของ ห้องประชุม หรือห้องครัว
เพราะเส้นทางนี้ต้องเป็น “จุดสิ้นสุดของการอพยพ” ไม่ใช่ “จุดสิ้นสุดของชีวิต”
🧱 บันไดหนีไฟที่ดี เริ่มจากการใช้งานที่ถูกต้อง
หลายครั้งที่อาคารเกิดปัญหาไม่ใช่เพราะออกแบบผิด แต่เพราะ “ถูกใช้ผิด”เช่น ใช้บันไดหนีไฟเป็นที่เก็บของ เปิดประตูบันไดหนีไฟค้างทิ้งไว้ หรือเปิดหน้าต่างระบายอากาศ สิ่งเหล่านี้อาจทำลายระบบความดันและการป้องกันควันทั้งหมดได้ทันที
💬 ข้อคิดสำหรับผู้บริหารอาคาร
อย่ามองบันไดหนีไฟเป็นเพียงช่องทางสำรอง แต่ให้มองว่าเป็น “ระบบชีวิต” ของอาคาร
จัดให้มีการตรวจสอบและทดสอบระบบอัดความดันและไฟฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ
อบรมทีมงานและผู้พักอาศัยให้เข้าใจวิธีใช้บันไดหนีไฟอย่างถูกต้อง
ติดป้ายเตือน “ห้ามวางสิ่งของกีดขวาง / ห้ามเปิดประตูค้าง” พร้อมสื่อสารให้ผู้ใช้อาคารเข้าใจเหตุผล
จัดให้มีผู้เชี่ยวชาญภายนอกตรวจสอบระบบปีละอย่างน้อยหนึ่งครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าระบบยังคงพร้อมใช้งานจริง
🔚 สรุป: บันไดหนีไฟไม่ใช่แค่โครงสร้าง – มันคือ “ทางรอด”
ทุกขั้นบันไดที่เราเดินขึ้นหรือลงในยามฉุกเฉินคือผลจากการออกแบบที่รอบคอบและทุกประตูที่ปิดสนิท คือกำแพงที่กันชีวิตจากควันและไฟ
การดูแลบันไดหนีไฟอย่างถูกต้อง คือการเคารพชีวิตของทุกคนในอาคารเพราะเมื่อถึงเวลานั้น...ไม่มีใครอยากพบว่าประตูบานเดียวที่หวังพึ่ง “ปิดไม่สนิท”


