สัญญาเช่าพื้นที่สำนักงาน: เครื่องมือสำคัญของเจ้าของอาคารในการบริหารผู้เช่า
- Chakrapan Pawangkarat
- Jun 23
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property and Asset Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
23 June 2025

การบริหารอาคารสำนักงานไม่ใช่แค่การดูแลระบบไฟฟ้า ปรับอากาศ หรือความสะอาดเท่านั้น แต่ “หัวใจสำคัญ” อีกอย่างคือ การจัดการสัญญาเช่า ที่ส่งผลโดยตรงต่อความสัมพันธ์ระยะยาวระหว่างเจ้าของอาคารกับผู้เช่า
สัญญาเช่าที่ดี ชัดเจน และยืดหยุ่นในจุดที่จำเป็น จะช่วยลดข้อพิพาท บริหารรายได้อย่างมั่นคง และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับอาคารในสายตานักลงทุนและผู้เช่า
✅ 5 เหตุผลที่เจ้าของอาคารควรให้ความสำคัญกับสัญญาเช่า
กำหนดสิทธิและหน้าที่ที่ชัดเจน ลดความคลุมเครือ เช่น ใครดูแลซ่อมอะไร ใครจ่ายค่าน้ำค่าไฟ หรือใครรับผิดชอบเมื่อผู้เช่าทำพื้นที่เสียหาย
ควบคุมความเสี่ยงทางกฎหมายและการเงิน เช่น กำหนดค่าปรับหากชำระค่าเช่าล่าช้า เงื่อนไขการบอกเลิกก่อนกำหนด หรือความรับผิดกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย
รักษาภาพลักษณ์และมาตรฐานของอาคาร กำหนดประเภทกิจการที่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ตั้ง ทำให้ tenant mix ภายในอาคารมีคุณภาพ และไม่รบกวนกัน
บริหารรายได้ระยะยาว เงื่อนไขการขึ้นค่าเช่าตาม CPI หรือทุกปี เช่น +5% ต่อปี เป็นกลยุทธ์ที่ควรระบุชัดในสัญญา เพื่อคุม cash flow ของโครงการ
สร้างความมั่นใจให้ผู้เช่าและนักลงทุน สัญญาเช่าที่ชัดเจน โปร่งใส ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และเป็นทรัพย์สินสำคัญในเวลานำอาคารเข้ากองทุน REIT หรือขายกิจการ
🧾 โครงสร้างหลักของสัญญาเช่าที่เจ้าของอาคารควรรู้
หมวด | รายละเอียด | ข้อควรพิจารณา |
1. ข้อมูลคู่สัญญา | ชื่อผู้ให้เช่า-ผู้เช่า | ระบุชัดเจน พร้อมเอกสารแนบ |
2. รายละเอียดพื้นที่เช่า | หมายเลขห้อง ขนาด พื้นที่ส่วนกลาง | แนบแปลนพื้นที่พร้อมลงนาม |
3. ระยะเวลาเช่า | เริ่ม-สิ้นสุด, Fit-out period, Option | เงื่อนไขต่ออายุควรกำหนดตั้งแต่แรก |
4. ค่าเช่าและค่าธรรมเนียม | ค่าเช่ารายเดือน, ค่าบริหารพื้นที่ส่วนกลาง, ค่าจอดรถ | ระบุเงื่อนไขปรับค่าเช่าให้ชัดเจน |
5. เงินประกัน | จำนวน, วิธีการคืนเงิน | ควรระบุกรณีหักเงินชัดเจน |
6. การใช้พื้นที่ | ประเภทกิจการที่อนุญาต, ข้อห้าม | ป้องกันกิจกรรมผิดกฎหมายหรือรบกวนผู้เช่าอื่น |
7. การตกแต่ง | ขั้นตอนขออนุญาต, การรื้อถอน | มีมาตรฐานการตรวจรับหลัง fit-out |
8. การซ่อมบำรุง | แบ่งหน้าที่ระหว่างเจ้าของอาคารอาคารและผู้เช่า | ระบุ response time ถ้ามี SLA |
9. การบอกเลิกสัญญา | ระยะเวลาแจ้งล่วงหน้า, ค่าปรับ | เงื่อนไขกรณีผิดสัญญา, force majeure |
10. ข้อกำหนดทั่วไป | การโอนสิทธิ, การแก้ไขสัญญา | ควรใช้ข้อกำหนดที่เป็นมาตรฐานอุตสาหกรรม |
🛠 แนวทางปฏิบัติที่ดีสำหรับเจ้าของอาคาร
1. เตรียมร่างสัญญามาตรฐาน (Master Lease Template)
ควรมีรูปแบบที่ผ่านการตรวจสอบทางกฎหมายและปรับให้เหมาะกับลักษณะอาคาร เช่น Office Grade A, Co-working Space หรือ Retail ในอาคาร
2. เปิดช่องให้มี “เงื่อนไขเฉพาะราย”
ผู้เช่ารายใหญ่หรือกลุ่มบริษัทอาจต้องการเงื่อนไขพิเศษ เช่น signage, การแบ่งพื้นที่ใช้สอย, หรือ exit clause
3. ตั้งทีมงานร่วมระหว่างฝ่ายกฎหมาย - บริหารอาคาร - การเงิน
เพื่อให้การร่าง การอนุมัติ และการติดตามการปฏิบัติตามสัญญาเป็นไปอย่างเป็นระบบ
4. สื่อสารกับผู้เช่าอย่างโปร่งใส
ก่อนเซ็นสัญญา ควรมี session อธิบายเงื่อนไขสำคัญ พร้อม Q&A ป้องกันความเข้าใจผิดในอนาคต
5. ติดตามอายุสัญญาและสถานะการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัล
ใช้ software ช่วยแจ้งเตือนก่อนหมดสัญญา และเช็กสถานะการเงินแบบ real-time เพื่อให้การต่อสัญญาราบรื่น
✨ บทสรุป: “สัญญา” ไม่ใช่เอกสาร แต่คือกลยุทธ์บริหารทรัพย์สิน
สัญญาเช่าไม่ควรถูกมองว่าเป็นแค่แบบฟอร์มทางกฎหมาย แต่เป็น เครื่องมือสำคัญ ของเจ้าของอาคารในการสร้าง “ความมั่นคงรายได้” และ “คุณภาพผู้เช่า” ในระยะยาว
การบริหารสัญญาอย่างมืออาชีพ จะช่วยให้เจ้าของอาคาร:
ลดข้อพิพาท
รักษาผู้เช่าไว้ได้
เพิ่มมูลค่าทรัพย์สินในสายตานักลงทุน
ดังนั้น อย่ารอให้มีปัญหาแล้วค่อยมานั่งเปิดสัญญา แต่ควรลงทุนเวลาในการออกแบบสัญญาให้ดีตั้งแต่ต้น แล้วใช้มันเป็นเครื่องมือทางธุรกิจอย่างเต็มศักยภาพค่ะ


