top of page

เปรียบ อาคาร = เครื่องบิน: มุมมองใหม่ในการบริหารอาคารสู่อนาคต

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

3 October 2025


ree

บทนำ: วันที่อาคารใหม่พร้อมบิน


อาคารที่เพิ่งสร้างเสร็จไม่ต่างจากเครื่องบินลำใหม่ที่เพิ่งออกจากโรงงาน — สวยงามภายนอก แต่ภายในคือความซับซ้อนของระบบนับพันจุดที่ยังไม่เคยถูกทดสอบภายใต้ “สนามจริง”


เจ้าของอาคารอาจมองเห็นเพียงงานสถาปัตยกรรมที่เสร็จสมบูรณ์ แต่ในสายตาของผู้จัดการอาคาร มันคือ การเตรียมเที่ยวบินแรกของเครื่องบินลำใหญ่ ที่กำลังจะบรรทุกผู้โดยสารหลายพันชีวิต


คำถามคือ เราจะพา “อาคารลำใหม่” นี้บินอย่างไร ให้มั่นคง ปลอดภัย และสร้างความเชื่อมั่นได้ตั้งแต่วันแรก?


1. อาคารคือเครื่องบิน: การเปลี่ยนกรอบคิด (Paradigm Shift)


ในอดีต การบริหารอาคารมักถูกมองเป็น “งานบำรุงรักษา” หรือ “งานบริการ”แต่ถ้าเราเปลี่ยนกรอบคิดใหม่นี้ — มองอาคารเหมือน เครื่องบินลำหนึ่ง — เราจะเห็นบทบาทของผู้จัดการอาคารแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง

  • โครงสร้างอาคาร = ลำตัวเครื่องบิน ที่ต้องมั่นคงรับแรงกดดันทั้งจากธรรมชาติและการใช้งาน

  • ระบบ MEP = เครื่องยนต์และระบบขับเคลื่อน ที่ต้องทำงานแม่นยำทุกวินาที

  • BMS/CMMS = ห้องนักบิน ที่แสดงข้อมูลสถานะของทุกระบบแบบ Real-time

  • ผู้จัดการอาคาร = กัปตัน ที่ต้องตัดสินใจบนความไม่แน่นอน

  • ทีมช่างและพนักงาน = ลูกเรือและช่างภาคพื้น ที่แม้ไม่อยู่ในสายตาผู้โดยสาร แต่คือน้ำหนักแห่งความปลอดภัยทั้งหมด


เมื่อคิดเช่นนี้ เราจะไม่มองงานบริหารอาคารเป็นเพียง “การแก้ปัญหาเมื่อมีเหตุ”แต่เป็น การควบคุมเที่ยวบินที่ต้องปลอดภัยทุกวัน


2. Commissioning: Flight Readiness ของอาคารใหม่


วันที่อาคารสร้างเสร็จ คือวันเริ่มต้นของ “Commissioning” ซึ่งเปรียบได้กับ การเตรียมเครื่องบินลำใหม่ให้พร้อมขึ้นฟ้า

  • Electrical Commissioning → ตรวจสอบระบบไฟฟ้าและสำรองไฟ เหมือนการเช็กเครื่องยนต์และระบบพลังงาน

  • Mechanical Commissioning → เดินระบบปรับอากาศ ปั๊มน้ำ Cooling Tower เหมือนการทดสอบระบบขับเคลื่อน

  • Life Safety Test → ทดสอบ Fire Alarm, Sprinkler, Smoke Detector เหมือนการตรวจสอบระบบฉุกเฉินของเครื่องบิน

  • System Integration → ทดสอบการสื่อสารระหว่าง BMS และอุปกรณ์ทุกตัว เหมือนการตรวจสอบปุ่มควบคุมใน Cockpit


ประเด็นสำคัญ: Commissioning ไม่ใช่การ “ทำตามพิธี” แต่คือการวัดระดับความพร้อมของ “เที่ยวบินแรกของอาคาร”


3. วันแรกของผู้จัดการอาคาร = วันแรกของกัปตัน


การ Take Over อาคารจากผู้พัฒนา คือวินาทีสำคัญที่เปรียบได้กับการที่กัปตันรับเครื่องบินลำใหม่เข้าประจำการ


ผู้จัดการอาคารในวันแรก ต้องมี “สายตาของกัปตัน” —

  • ไม่ใช่แค่รับกุญแจ แต่ต้อง รับคู่มือ ระบบงาน และความรับผิดชอบ

  • ไม่ใช่แค่ตรวจเช็ก แต่ต้อง เข้าใจระบบลึกซึ้ง เพราะทุกการตัดสินใจอาจมีผลต่อชีวิตผู้ใช้อาคารนับพัน


ในองค์กรที่มองการณ์ไกล บทบาทของผู้จัดการอาคารในวันแรกจึงไม่ใช่แค่ “Facility Manager”แต่คือ Chief Pilot ของเที่ยวบินใหม่


4. Test Run: Taxiing บนรันเวย์


เครื่องบินไม่สามารถ Take Off ได้ทันที ต้องมีการ Taxiing และทดสอบระบบควบคุมก่อนอาคารใหม่ก็เช่นกัน ต้องมีการ “Test Run” ที่เข้มงวด:

  • ลิฟต์ → ทดลองเดิน No Load, Partial Load, Full Load

  • Chiller Plant → เริ่มจากเดินเครื่องบางส่วนก่อนเข้าสู่ Full Load

  • Generator & UPS → ทดสอบการเปลี่ยนโหลดแบบ Black-out Simulation

  • Fire Drill → ทดลอง Zone-by-Zone ก่อนสั่ง Full Building Test


นี่คือ การไต่บันไดความมั่นใจ (Confidence Staircase) ที่ทำให้ผู้จัดการอาคารเชื่อได้ว่า ทุกระบบพร้อมก่อนผู้โดยสารจริงขึ้นเครื่อง


5. First Flight: วันเปิดใช้อาคาร


เมื่ออาคารเปิดใช้งานจริง เทียบได้กับการบินพาณิชย์เที่ยวแรก

  • ผู้โดยสาร = ผู้เช่าและผู้ใช้อาคาร

  • กัปตัน = ผู้จัดการอาคาร

  • ลูกเรือ = ทีมวิศวกร, ทีมบริการ, แม่บ้าน, รปภ.

  • ภารกิจ = มอบประสบการณ์ที่ราบรื่น ปลอดภัย และมั่นใจ


เหมือนกับสายการบินที่เที่ยวบินแรกมีสื่อมวลชนเฝ้าดู วันเปิดอาคารใหม่ ก็คือช่วงเวลาที่ผู้เช่า ผู้บริหาร และสังคมภายนอกจับตาหากระบบสะดุด ความเชื่อมั่นก็สั่นคลอนทันที


6. ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่


เครื่องบินใหม่อาจเจอ Hidden Defect อาคารใหม่ก็เช่นกัน อาจมีจุดบกพร่องที่ยังไม่ปรากฏ

  • ท่อที่รั่วเล็ก ๆ → กลายเป็นน้ำท่วมใหญ่วันใดวันหนึ่ง

  • BMS Bug เล็ก ๆ → กลายเป็นค่าไฟที่สูงผิดปกติ

  • ปั๊มเสียงดังผิดมาตรฐาน → บั่นทอนประสบการณ์ผู้ใช้อาคาร

  • พฤติกรรมผู้เช่า → ทำให้การออกแบบระบบไม่ตรงกับการใช้งานจริง


ผู้จัดการอาคารต้องมองให้ทะลุว่า “ความสมบูรณ์ภายนอก ไม่การันตีความปลอดภัยภายใน”


7. Ritual of Risk: พิธีกรรมแห่งความปลอดภัย


เช่นเดียวกับนักบินที่ต้องมี Pre-flight Checklist ผู้จัดการอาคารก็ต้องมี Ritual of Risk ที่เข้มงวด:

  • Daily Check → ตรวจระบบทุกเช้า ไม่ว่ามีเหตุหรือไม่

  • Step by Step Commissioning → เดินระบบแบบไต่ระดับ ไม่เปิดทุกอย่างพร้อมกัน

  • Emergency Drill → ฝึกซ้อมแผนเผชิญเหตุซ้ำ ๆ ให้กลายเป็นสัญชาตญาณ

  • Specialized Expert → ใช้ผู้เชี่ยวชาญระบบเฉพาะด้าน เหมือน Test Pilot ที่ผ่านการฝึกพิเศษ


วินัยเหล่านี้อาจถูกมองว่า “เสียเวลา” แต่จริง ๆ แล้วคือสิ่งที่ซื้อ ความมั่นใจและความอยู่รอด


8. คุณค่าที่มองไม่เห็น: คนคือหัวใจ


ในหลายองค์กร ความสำคัญมักถูกให้กับ “อาคาร” มากกว่าคนที่ทำให้อาคารบินได้

แต่ความจริงคือ ผู้จัดการอาคาร วิศวกร ช่าง และทีมบริการ คือคนที่เสี่ยงแทนทุกคน เหมือนนักบินและลูกเรือที่พาเครื่องบินขึ้นฟ้าหากองค์กรไม่ให้คุณค่ากับทีมเหล่านี้ ความยั่งยืนของอาคารก็เป็นเพียงภาพลวงตา


“การลงทุนที่แท้จริงในงานบริหารอาคาร ไม่ใช่แค่เทคโนโลยี แต่คือการลงทุนในคน”

9. บทเรียนที่อาคารใหม่มอบให้


  1. ความสมบูรณ์แบบภายนอก อาจซ่อนจุดอ่อนภายใน

  2. ไม่มีระบบใดการันตีจนกว่าจะผ่านการทดสอบจริง

  3. ความเสี่ยงไม่มีวันหายไป แต่เราจัดการได้

  4. ทีมงานคือเส้นเลือดใหญ่ของอาคาร

  5. การบริหารอาคารคือการสร้างความเชื่อมั่นใหม่ทุกวัน


10. สรุป: กัปตันแห่งอาคาร


ทุกอาคารใหม่คือ เครื่องบินลำใหม่ ทุกวันของการเดินระบบคือ เที่ยวบินพาณิชย์ที่ต้องปลอดภัย และทุกผู้จัดการอาคารคือ กัปตัน ที่มีผู้โดยสารหลายพันชีวิตฝากความเชื่อมั่นไว้


“การบริหารอาคารไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่คือการพาเครื่องบินที่ชื่อว่าอาคาร บินไปอย่างมั่นคงทุกวัน”

✈️ อาคารไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างที่อยู่นิ่งแต่คือ “เครื่องบินที่บินอยู่บนพื้น”และผู้จัดการอาคารทุกคนคือกัปตันที่พามันบินไปสู่อนาคต

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page