เมื่อ AI กลายเป็นสมองที่สองของงานบริหารอาคาร
- Chakrapan Pawangkarat
- Sep 4
- 1 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
Head of Property Management, JLL Thailand
เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย
4 September 2025

บทนำ
การบริหารอาคารในอดีตมักถูกมองว่าเป็นงานเบื้องหลัง เน้นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วมากกว่าการวางแผนเชิงรุก ข้อมูลถูกเก็บอยู่กระจัดกระจายในเอกสารและรายงาน ทำให้การตัดสินใจเต็มไปด้วยความล่าช้าและข้อจำกัด แต่เมื่อเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาเป็น “สมองที่สอง” ของทีมบริหารอาคาร ทุกสิ่งกำลังเปลี่ยนไป
ข้อจำกัดดั้งเดิมของงานบริหารอาคาร
ความท้าทายที่ทุกอาคารต้องเผชิญมีลักษณะคล้ายคลึงกัน ได้แก่
ข้อมูลกระจัดกระจาย อยู่ในสัญญา คู่มือ และรายงานหลายแหล่ง
การทำงานเชิงรับ (Reactive) ต้องรอให้ผู้เช่าร้องเรียนก่อนจึงค่อยแก้ไข
ค่าใช้จ่ายบานปลาย จากงานซ่อมที่ควรอยู่ในเงื่อนไขประกันแต่กลับถูกจ่ายเอง
แรงกดดันสูง จากทั้งผู้เช่าที่คาดหวังคุณภาพบริการ และเจ้าของอาคารที่มองหาการเพิ่มมูลค่า
ข้อจำกัดเหล่านี้ทำให้การบริหารอาคารขาดความคล่องตัว และเสียโอกาสในการพัฒนาเชิงกลยุทธ์
AI ในฐานะผู้ช่วยอัจฉริยะ
AI ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ที่งานดั้งเดิมทำได้ยาก โดยมีคุณสมบัติสำคัญ 3 ด้าน
รวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลแปลงข้อมูลกระจัดกระจายให้เป็นฐานความรู้กลางที่ค้นหาได้ทันที
วิเคราะห์เชิงพยากรณ์ (Predictive Intelligence)ใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อคาดการณ์แนวโน้ม เช่น อุปกรณ์ใดเสี่ยงต่อการเสียหายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า
การโต้ตอบด้วยภาษามนุษย์เปิดโอกาสให้ผู้จัดการอาคารถามคำถามโดยตรง เช่น
“งานซ่อมที่ยังไม่ได้ปิดในเดือนที่แล้วคืออะไรบ้าง?”
“อุปกรณ์ใดที่ยังอยู่ในสัญญาบำรุงรักษา?”
ตัวอย่างการใช้งานจริง
1. การบำรุงรักษาเชิงป้องกัน
AI ตรวจพบรูปแบบการแจ้งซ่อมซ้ำในบางชั้นของอาคาร และชี้ว่าเกิดจากแผงกรองอากาศใกล้หมดอายุ พร้อมแนะนำให้เปลี่ยนก่อนเกิดปัญหา
2. การยกระดับประสบการณ์ผู้เช่า
AI วิเคราะห์ข้อมูลร้องเรียน และพบปัญหาความเย็นไม่เพียงพอในบางช่วง สาเหตุจากมีคนหนาแน่นกระทันหัน ระบบแนะนำการปรับอุณหภูมิรองรับล่วงหน้า ผลลัพธ์คือผู้เช่าพึงพอใจมากขึ้นและลดการร้องเรียนซ้ำ
3. การจัดการข้อมูลสัญญา
การค้นหาเอกสารไม่จำเป็นต้องเปิดแฟ้มอีกต่อไป เพียงถามว่า “อุปกรณ์ใดที่ครอบคลุมด้วยประกัน” AI สามารถดึงคำตอบจากสัญญาและประวัติการซ่อมได้ทันที
4. การวางแผนเชิงกลยุทธ์
จากข้อมูลย้อนหลัง 3 ปี AI สร้าง Dashboard งบประมาณล่วงหน้า ทำให้ผู้บริหารสามารถวางแผนงบและการลงทุนได้อย่างมั่นใจ
5. การสนทนากับอาคาร
AI ทำให้อาคารเสมือนมีชีวิต สามารถถามได้ว่า “จุดเสี่ยงที่อาจกระทบความปลอดภัยในไตรมาสหน้าคืออะไร” แล้วได้รับคำตอบพร้อมข้อเสนอแนะที่นำไปใช้ได้จริง
ผลลัพธ์ที่เหนือกว่าตัวเลข
การนำ AI มาใช้ในงานบริหารอาคารส่งผลลัพธ์เกินกว่าการลดต้นทุน ได้แก่
ความมั่นใจในการตัดสินใจ ด้วยข้อมูลเชื่อมโยงครบถ้วน
การยกระดับบทบาททีมงาน จากการทำงานเอกสารซ้ำซ้อน สู่การสร้างคุณค่าที่ AI แทนไม่ได้
ประสบการณ์เชิงบวกของผู้เช่า ลดการร้องเรียน เพิ่มความพึงพอใจ
การเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน เมื่อการจัดการมีประสิทธิภาพ ต้นทุนลดลง มูลค่าอาคารสูงขึ้น
ความท้าทายที่ต้องเผชิญ
แม้ศักยภาพจะสูง แต่ยังมีสิ่งที่ต้องระวัง:
ความปลอดภัยของข้อมูล ต้องออกแบบให้แยกและปกป้องได้ชัดเจน
การยอมรับของทีมงาน ต้องทำให้เข้าใจว่า AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่เป็นเครื่องมือสนับสนุน
คุณภาพข้อมูลตั้งต้น ต้องมั่นใจว่าถูกต้อง เพื่อไม่ให้การวิเคราะห์คลาดเคลื่อน
การลงทุนเบื้องต้น ต้องบริหารต้นทุนการติดตั้งอย่างสมดุล
มองไปข้างหน้า: ผู้จัดการอาคารในยุค AI
เมื่อ AI เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของงานประจำวัน บทบาทของผู้จัดการอาคารเปลี่ยนจาก “ผู้แก้ปัญหาหน้างาน” ไปสู่ “ผู้นำเชิงกลยุทธ์” ที่มองภาพรวม สร้างความแตกต่าง และนำข้อมูลมาใช้สร้างคุณค่าให้ทั้งผู้เช่าและเจ้าของอาคาร
อาคารในอนาคตไม่ใช่เพียงสิ่งปลูกสร้าง แต่คือ ระบบนิเวศอัจฉริยะ ที่สามารถสนทนาและร่วมตัดสินใจได้จริง ทีมที่เรียนรู้และปรับใช้ AI อย่างเต็มที่ จะเป็นผู้ที่ก้าวนำในตลาดที่แข่งขันรุนแรงที่สุด
บทสรุป
AI คือการเปลี่ยนเกมของงานบริหารอาคารอย่างแท้จริง จากการจัดการเชิงรับไปสู่การบริหารเชิงรุกและเชิงกลยุทธ์ ผู้ที่นำเทคโนโลยีนี้มาใช้ได้อย่างชาญฉลาด จะไม่เพียงแค่ลดต้นทุน แต่ยังสร้างข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และยกระดับบทบาทงานบริหารอาคารให้เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างมูลค่าในโลกอสังหาริมทรัพย์ยุคใหม่


