เมื่อความเชื่อมั่นสูญหาย ท่ามกลางสงครามการค้าโลก: บทเรียนจากประเทศที่เคยสิ้นหวัง สู่กลยุทธ์สำหรับประเทศไทย
- Chakrapan Pawangkarat
- May 5
- 2 min read
จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์
5 May 2025

หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2024 Donald Trump กลับมาสู่ทำเนียบขาวในสมัยที่สอง โลกกำลังเข้าสู่ ยุคสงครามการค้ารอบใหม่ที่ดุเดือดกว่าเดิม ภายใต้สโลแกน “America First 2.0” ซึ่งไม่ได้เพียงกระทบเศรษฐกิจจีนหรือสหรัฐฯ → แต่ โยกฐานอำนาจและห่วงโซ่อุปทานของโลก (global supply chain) ทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย
ประเทศไทยอยู่ตรงกลางของสนามรบใหม่:
ถูกบีบจาก การ decoupling ของสหรัฐ-จีน
เศรษฐกิจโลกไม่แน่นอน
นักลงทุนลังเล
ความเชื่อมั่นในภายในประเทศถดถอย จากการเมือง เศรษฐกิจ คอร์รัปชัน ความเหลื่อมล้ำ
คำถามคือ:
“เคยมีประเทศไหนที่อยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงโลก-ความสิ้นหวังภายใน แล้วฟื้นความเชื่อมั่นได้?”“ประเทศไทยควรเดินกลยุทธ์ใด ท่ามกลางความปั่นป่วนนี้?”
บทเรียนจากประเทศที่ฟื้นตัวจากความสิ้นหวัง + disruption ระดับโลก
หลายประเทศเคยผ่านสถานการณ์คล้ายกัน:
เกาหลีใต้: ผ่าน IMF Crisis (1997) ขณะถูกกดดันจากมหาอำนาจเศรษฐกิจ
ญี่ปุ่น: Lost Decade หลัง Plaza Accord บีบค่าเงิน
ไต้หวัน: ถูกจีนบีบทางการทูต เศรษฐกิจขึ้นกับ export → ต้องหาทาง pivot
โคลอมเบีย: ผ่าน internal conflict ท่ามกลางสงครามเย็นและ global narco-politics
ทุกประเทศนี้เจอ “external shock” + “internal crisis” แต่ฟื้นกลับมาได้เพราะ:
3 แกนยุทธศาสตร์ที่สร้างความเชื่อมั่นใหม่
1. Political Reform → ระบบการเมืองที่เชื่อถือได้
ในยุคสงครามการค้า global power shift → นักลงทุนและประชาชนจะไม่มั่นใจถ้า rule of law ไม่มั่นคง
ไต้หวัน: เปิดเสรีพรรคการเมือง ปฏิรูประบบเลือกตั้ง → สร้าง political legitimacy
เกาหลีใต้: ลงโทษคดีคอร์รัปชันใหญ่ → สร้าง trust ต่อรัฐ
ญี่ปุ่น: ปฏิรูประบบราชการ → ลด red tape
บทเรียนสำหรับไทย:
ทำให้ rule of law = enforceable จริง ไม่ selectivity
ปรับ governance → ลด “capture” โดย network อำนาจเดิม
2. Economic Reform → เศรษฐกิจที่ resilient ต่อ global disruption
ยุค post-Trump → โลกเป็น multi-polar + decoupling economy → ไทยต้องมี “economic resilience”
ไต้หวัน: pivot จาก OEM → tech innovation (TSMC, Foxconn)
ญี่ปุ่น: ลงทุน heavy industry → แล้ว shift สู่ high value manufacturing
เกาหลีใต้: ลด reliance export → ปั้น domestic consumption + global brand (Samsung, Hyundai)
บทเรียนสำหรับไทย:
เร่งพัฒนา value chain ในประเทศ → ลด dependency on China/US
ส่งเสริม SME/Startup → innovation-driven economy
“เชื่อมโลก” → ใช้ไทยเป็น bridge ใน supply chain ใหม่ (ASEAN hub)
3. Narrative & Trust-building → สร้างเรื่องเล่าแห่งความหวัง
ท่ามกลาง chaos → คนต้องการ “เรื่องเล่าที่ทำให้เขารู้สึกว่าเขามีบทบาท มีอนาคต”
ไต้หวัน: สร้าง image “Made in Taiwan = Innovation”
เกาหลีใต้: Gold Collection Movement → ประชาชนบริจาคทองช่วยชำระหนี้ IMF
โคลอมเบีย: Brand Colombia → เปลี่ยน narrative จาก violence → culture, tourism
บทเรียนสำหรับไทย:
สร้าง narrative ใหม่: “ประเทศไทย = resilience economy, opportunity for all”
แคมเปญที่ชวนคนตัวเล็กเข้ามามีส่วนร่วมเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ sector ใหญ่
ข้อเสนอเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย (ในยุค post-Trump, trade war 2.0)
ระยะสั้น (1-2 ปี):
✅ สร้าง narrative ความหวังใหม่ → “Thailand: ASEAN Resilience Hub”
✅ ดึง supply chain หนี decoupling → policy ดึง FDI ที่ต้องการ diversify from China
✅ ลงโทษคดีคอร์รัปชันเชิง demonstrative → restore trust ต่อ governance
ระยะกลาง (2-5 ปี):
✅ ปฏิรูประบบ procurement + bidding → open platform, anti-capture
✅ หนุน SME/startup → ecosystem แบบ tech park, innovation zone
✅ ปฏิรูประบบศาล-องค์กรตรวจสอบ → rule of law เชื่อถือได้ในสายตา investor
ระยะยาว (5-10 ปี):
✅ Pivot เศรษฐกิจ → innovation-driven, green economy, value-based supply chain
✅ สร้าง “Thailand Brand” → คุณค่าใหม่ของประเทศที่เกิน soft power เดิม
ข้อควรระวัง:
หาก narrative กับ action ไม่สอดคล้อง → “disillusion” จะเกิดเร็วกว่า “hope”
หากปฏิรูปแค่ผิวเผิน → นักลงทุน global จะ “bet” กับคู่แข่งใน region แทนไทย
สรุป:
ในโลกหลังสงครามการค้ารอบใหม่ → ประเทศที่จะรอด ไม่ใช่ประเทศที่ “เลือกข้างถูก” แต่คือประเทศที่ “สร้าง economic & political resilience จากภายใน”
และที่สำคัญที่สุด:
“ความเชื่อมั่นไม่ได้เกิดจาก PR → แต่เกิดจาก action ที่คนเห็นแล้วรู้สึก ‘นี่คือประเทศของฉัน’”
ประเทศไทยพร้อมหรือยัง ที่จะก้าวข้าม narrative เก่า และสร้างความหวังใหม่ที่ทุกคนรู้สึกมีที่ยืน?


