top of page

เมื่อชีวิตตกจากที่สูง: ถึงเวลาทบทวน “ความปลอดภัยเชิงป้องกัน” ในอาคารสูง

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

13 October 2025


ree

บทนำ: จากข่าวสู่ความจริงที่เราหลีกไม่พ้น


ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ข่าวคนตกตึกหรือโดดอาคารฆ่าตัวตายปรากฏขึ้นบ่อย บางรายเป็นผู้อยู่อาศัยในคอนโด บางรายเป็นลูกค้าในอาคารศูนย์การค้า หรือแม้แต่ผู้ที่สัญจรเข้าออกอาคาร


แต่ละเหตุการณ์คือ “ชีวิตจริง” ของใครบางคน — แต่ละจุดตกคือ “จุดบอด” ของระบบความปลอดภัยที่ยังไม่ถูกแก้ไข


คำถามสำคัญคือ

เราจะรอให้เหตุการณ์เกิดขึ้นก่อน แล้วค่อยหาทางแก้ไปเรื่อย ๆ อีกหรือ?

1. อาคารไม่ใช่แค่โครงสร้าง — แต่คือ “พื้นที่ชีวิต”


ในฐานะผู้บริหารอาคาร เรามักพูดถึงระบบไฟฟ้า ระบบปรับอากาศ หรือระบบป้องกันอัคคีภัยแต่สิ่งที่มักถูกละเลยคือ “ระบบความปลอดภัยต่อชีวิต” ในมิติของพฤติกรรมมนุษย์


อาคารสูงในเมืองใหญ่มักมีจุดที่ “เข้าถึงได้ง่ายแต่ตกลงได้”เช่น

  • ช่องเปิดหน้าต่างบานกระทุ้งที่เปิดได้มากเกิน

  • ราวระเบียงที่ต่ำกว่ามาตรฐาน

  • ดาดฟ้าที่ไม่มีรั้วกั้นเพียงพอ

  • พื้นที่เสี่ยงที่เข้าถึงได้โดยไม่ถูกล็อก


ในขณะที่มาตรฐานวิศวกรรม เช่น วสท. หรือกฎหมายอาคาร กำหนด “ความสูงขั้นต่ำของราวกันตก 1.10 เมตร” แต่ในความเป็นจริง พฤติกรรมมนุษย์ซับซ้อนกว่านั้นมาก คนที่อยู่ในภาวะเครียด วิตกกังวล หรือสิ้นหวัง อาจตัดสินใจภายในไม่กี่วินาที —และความสูงของราวกันตกเพียง 1.10 เมตร อาจไม่เพียงพอจะหยุดพฤติกรรมนั้นได้


2. ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “คน” แต่เริ่มที่ “ระบบ”


หลายครั้งหลังเกิดเหตุ มักมีการโทษเหยื่อ หรือกล่าวว่าเป็น “เหตุสุดวิสัย” แต่หากเรามองอย่างเป็นระบบ จะเห็นว่าเหตุเหล่านี้อาจสามารถ “ป้องกันได้”


ตัวอย่างเช่น

  • ราวกันตกสูงไม่พอ: ปรับเพิ่มเป็น 1.80 เมตร โดยเฉพาะในดาดฟ้า ระเบียง หรือ รอบโถงสูง

  • หน้าต่างเปิดได้เต็มบาน: ควรติด “ตัวจำกัดการเปิด (Window Restrictor)” ให้เปิดได้ไม่เกิน 10–15 ซม.

  • ดาดฟ้าเข้าถึงได้ง่าย: เพิ่มระบบแจ้งเตือน พร้อมระบบตรวจจับการเปิด

  • จุดเสี่ยงไม่อยู่ในสายตา: ติดตั้งกล้อง CCTV ครอบคลุม พร้อมระบบ Video Analytic ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เช่น การปีนราว การอยู่บริเวณขอบตึกนานเกินไป


อาคารสมัยใหม่ควร “คิดล่วงหน้า” ว่าอาจเกิดอะไรได้บ้าง ไม่ใช่เพียงออกแบบให้ “ผ่านกฎ” เท่านั้น


3. Video Analytic: เทคโนโลยีที่ช่วย “มองเห็นก่อนเกิดเหตุ”


ในยุค AI การป้องกันเหตุล่วงหน้าไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไประบบ Video Analytic สามารถเรียนรู้พฤติกรรมเสี่ยง เช่น

  • การเคลื่อนไหวผิดตำแหน่ง (เช่น มีคนอยู่บนขอบดาดฟ้า)

  • การหยุดนิ่งในจุดอันตรายนานเกินค่าปกติ

  • การเปิดประตูพื้นที่ต้องห้าม


เมื่อตรวจพบ ระบบสามารถแจ้งเตือนศูนย์ควบคุมได้ทันทีหรือแม้แต่ส่งเสียงเตือนอัตโนมัติ ณ จุดนั้น เพื่อขัดขวางพฤติกรรมก่อนจะสายเกินไป


นี่คือ “แนวคิดการป้องกันแบบ Active Surveillance” —ไม่ใช่เพียงเก็บภาพเหตุการณ์ไว้ดูย้อนหลัง แต่ช่วย ปกป้องชีวิตแบบเรียลไทม์


4. การออกแบบเพื่อ “ความปลอดภัยทางใจ”


หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีสาเหตุจากปัญหาทางกายภาพเพียงอย่างเดียวแต่ยังเชื่อมโยงกับ “ความเปราะบางทางใจ” ของผู้คนในเมือง


ดังนั้น การป้องกันที่แท้จริงต้องครอบคลุมทั้ง

  • สิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัย (Physical Safety)

  • สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพจิต (Psychological Safety)


ตัวอย่างแนวทางที่องค์กรสามารถทำได้ เช่น

  • จัดพื้นที่พักใจ (Wellness Corner / Quiet Room) ในอาคาร

  • ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้ “สังเกตสัญญาณเตือน” เช่น บุคคลที่มีพฤติกรรมซึมเศร้า เดินวน หรืออยู่คนเดียวในจุดเสี่ยง

  • ตั้งกลไก “สายด่วนช่วยเหลือ” ภายในอาคาร ที่สามารถประสานไปยังหน่วยงานสุขภาพจิตได้


อาคารที่ใส่ใจสุขภาพจิตของผู้ใช้งาน คืออาคารที่ “ปลอดภัยครบวงจร”


5. การบริหารอาคารในมิติ “ป้องกันเหตุซ้ำ”


บทเรียนจากเหตุการณ์เหล่านี้ควรถูกแปลงเป็น แผนงานจริงในระบบบริหารอาคาร (Property Management System)เช่น

  • เพิ่มหัวข้อ “การประเมินจุดเสี่ยงการตกจากที่สูง” ในแผนตรวจสอบประจำปี

  • ติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันตามระดับความเสี่ยง (Hierarchy of Protection)

  • กำหนด KPI ด้าน “Zero Suicide Incident” ในระบบบริหารความปลอดภัย

  • รายงานผลตรวจจุดเสี่ยงต่อคณะกรรมการอาคารหรือเจ้าของร่วมทุกปี


สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ภาระใหม่ แต่คือ “ภารกิจของการบริหารชีวิตในอาคาร”


6. จากความสูญเสีย สู่การลงมือจริง


ไม่มีใครอยากเห็นข่าวคนตกตึกอีก แต่ข่าวจะไม่หายไปเองจนกว่าเราจะเริ่ม “ลงมือเปลี่ยน”เพราะทุกจุดที่คนตกตึก คือ “จุดที่เราละเลย” ทุกชีวิตที่สูญเสีย คือ “สัญญาณเตือน” ให้เราทำดีกว่านี้

ความปลอดภัยไม่ได้เริ่มจากกฎหมาย แต่มาจาก “ใจของผู้ดูแลอาคาร” ที่ไม่ยอมปล่อยให้สิ่งเล็ก ๆ กลายเป็นความสูญเสียใหญ่หลวง

สรุป: อาคารที่ปลอดภัยที่สุด คืออาคารที่ไม่หยุดเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา


อาคารที่ดี ไม่ใช่แค่ยืนหยัดด้วยคอนกรีตและเหล็กแต่ยืนอยู่ได้ด้วย “ความใส่ใจ” ของผู้บริหารอาคารที่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาด คืออาคารที่กำลัง “เติบโตทางมนุษยธรรม”


และถ้าวันนี้เรายังมีโอกาสป้องกัน “เหตุการณ์น่าเศร้า” ได้แม้เพียงครั้งเดียวเราก็ควรทำให้ดีที่สุด


🧱 แนวทางเชิงปฏิบัติสำหรับผู้บริหารอาคาร

  • ตรวจสอบราวกันตกทุกจุดให้มีความสูง ไม่น้อยกว่า 1.10 เมตร ทุกพื้นที่ และ ไม่น้อยกว่า 1.80 เมตร ในพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะดาดฟ้าและพื้นที่สาธารณะ

  • ติดตั้ง CCTV พร้อมระบบ Video Analytic เพื่อเฝ้าระวังจุดเสี่ยง

  • จำกัดการเข้าถึงพื้นที่อันตราย เช่น ดาดฟ้า หรือ ระเบียงด้านนอก

  • ฝึกอบรมทีม พนักงานอาคาร ช่าง รปภ. และแม่บ้าน ให้สังเกตพฤติกรรมผิดปกติ

  • ประสานกับหน่วยงานด้านสุขภาพจิต เพื่อช่วยเหลือผู้มีภาวะเสี่ยง

  • สื่อสารภายในอาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้าง “วัฒนธรรมเฝ้าระวังร่วมกัน”

Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page