top of page

เมื่อเจ้าของอาคารไม่อยากบริหารเอง: จุดเปลี่ยนของธุรกิจบริหารอาคารในกรุงเทพฯ

จักรพันธ์ ภวังคะรัตน์

Head of Property and Asset Management, JLL Thailand

เลขาธิการ สมาคมบริหารทรัพย์สินแห่งประเทศไทย

2 August 2025


ree

บริบทใหม่ของธุรกิจบริหารอาคารในกรุงเทพฯ


ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ การทำงานแบบไฮบริดเข้ามาแทนที่รูปแบบเดิม พฤติกรรมของผู้เช่าพัฒนาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันเจ้าของอาคารก็เผชิญความท้าทายใหม่ๆ ทั้งด้านต้นทุน กฎหมายแรงงาน และปัญหาขาดแคลนแรงงานเทคนิค


หนึ่งในสัญญาณสำคัญที่เราเห็นชัดขึ้นคือ เจ้าของอาคารจำนวนมากเริ่มไม่อยากบริหารเองแล้ว


จากเดิมที่เจ้าของอาคารบางรายเลือกตั้งทีมภายในเพื่อดูแลอาคารและผู้เช่าเอง ปัจจุบันหลายรายหันมาใช้บริการผู้เชี่ยวชาญภายนอกเต็มรูปแบบมากขึ้น เหตุผลไม่ใช่แค่เรื่องของต้นทุน แต่เป็นเพราะ “ระบบเดิมไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป”


ทำไมเจ้าของอาคารถึงไม่อยากบริหารเองอีกต่อไป?


  1. หาคนไม่ได้ / ฝึกอบรมไม่เป็น ตลาดแรงงานสายช่างเทคนิค วิศวกรรมระบบอาคาร และทีมบริการลูกค้า มีจำนวนจำกัดมาก โดยเฉพาะคนที่มีทักษะด้านระบบปรับอากาศแบบน้ำเย็นขนาดใหญ่, BMS, Fire Alarm และระบบอาคารอัจฉริยะ

  2. ปัญหาด้านกฎหมายแรงงาน การมีพนักงานประจำภายใต้โครงสร้างองค์กรเจ้าของอาคาร ทำให้การปรับลดทีมตามสภาวะธุรกิจทำได้ยาก เสี่ยงต่อข้อพิพาทด้านแรงงาน

  3. ไม่มีระบบควบคุมภายใน / ทุจริต เมื่อไม่มีระบบตรวจสอบภายในที่ดี เจ้าของอาคารหลายรายพบปัญหาการทุจริตเล็กๆ น้อยๆ สะสม ซึ่งบั่นทอนประสิทธิภาพและความโปร่งใส

  4. ต้นทุนสูง / Scale ไม่ได้ การตั้งทีมภายในทำให้ต้นทุนคงที่สูง เมื่อเทียบกับการใช้บริการจากบริษัทภายนอกที่มีระบบ scale ทีมตามขนาดอาคารและช่วงเวลาได้ยืดหยุ่นกว่า

  5. ไม่คล่องตัวเมื่อต้องปรับตัว เมื่ออาคารต้องเปลี่ยนแนวทาง เช่น ปรับพื้นที่จากสำนักงานเป็นพื้นที่ใช้ร่วม หรือเมื่อผู้เช่าเปลี่ยนพฤติกรรม การมีทีมภายในมักปรับตัวได้ช้ากว่าทีมภายนอกที่ชำนาญเฉพาะทาง


ตลาดแรงงานเทคนิค: ปัญหาเงียบที่กำลังเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ


“คน” คือรากฐานของธุรกิจบริหารอาคาร และวันนี้คนกลุ่มนี้กำลัง “ขาดแคลนอย่างรุนแรง”

  • ช่างเทคนิค ที่สามารถดูแลระบบไฟฟ้า เครื่องกล เครื่องปรับอากาศอย่างมืออาชีพ มีน้อยและกระจายตัว

  • วิศวกรระบบอาคาร ที่เข้าใจระบบซับซ้อน เช่น Chilled Water System, BMS, Fire, ELV ขาดแคลน

  • คนรุ่นใหม่ ไม่สนใจสายงานนี้เท่าเดิม มองว่าไม่ท้าทาย ไม่น่าภูมิใจ

  • ระบบพัฒนาอาชีพ (Career Path) สำหรับช่างและทีม onsite ยังไม่ชัดเจนในหลายองค์กร


ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ทีมทำงานหนักเกินไป คุณภาพตก ความพึงพอใจของผู้เช่าลดลง และค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาเพิ่มขึ้น


“การปรับตัว” คือคุณสมบัติสำคัญของบริษัทบริหารอาคารยุคใหม่


ในบริบทที่เปลี่ยนไป บริษัทบริหารอาคารที่สามารถตอบโจทย์เจ้าของอาคารและจัดการปัญหาแรงงานได้อย่างชาญฉลาดคือบริษัทที่จะ “อยู่รอดและเติบโต”


4 ปัจจัยความสำเร็จของบริษัทที่ปรับตัวได้ดี:


  1. เทคโนโลยีเสริมแรงคน

    • ใช้ระบบ CMMS, IoT, และ Remote Monitoring เพื่อลดภาระทีมงาน

    • วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำ Predictive Maintenance และวางแผนล่วงหน้า

  2. จัดทีมแบบผสมและยืดหยุ่น

    • ช่าง Multi-skill, วิศวกรหมุนเวียน, และทีม response เฉพาะทาง

    • Outsource บางตำแหน่งเพื่อคล่องตัวและควบคุมต้นทุน

  3. ลงทุนในบุคลากรระยะยาว

    • ออกแบบ Career Path สำหรับช่างและทีม onsite

    • จัดอบรมต่อเนื่องและใช้ระบบพี่เลี้ยง (Mentorship) อย่างจริงจัง

  4. เข้าใจเจ้าของอาคารอย่างแท้จริง

    • เสนอบริการแบบ Full-Scope ที่ครอบคลุมงานบริการ คน ระบบ และการเงิน

    • ออกแบบระบบควบคุมภายในให้โปร่งใส ตรวจสอบได้

    • สามารถ Scale up/down บริการได้ตามสภาพเศรษฐกิจ


บทสรุป: จาก “บริหารอาคาร” สู่ “บริหารการเปลี่ยนแปลง”


ธุรกิจบริหารอาคารในกรุงเทพฯ กำลังเปลี่ยนโฉมอย่างเงียบๆ


ไม่ใช่แค่เปลี่ยนระบบควบคุม เปลี่ยนซอฟต์แวร์ หรือเปลี่ยนทีมบริการเท่านั้นแต่กำลังเปลี่ยน “บทบาท” ของบริษัทบริหารอาคารไปสู่การเป็น “พาร์ตเนอร์เชิงกลยุทธ์” ที่เจ้าของอาคารไว้วางใจให้ดูแล “ทั้งระบบ”


ในวันที่ความคาดหวังของผู้เช่าเปลี่ยน เทคโนโลยีเร่งขึ้น และคนที่มีความรู้จริงในระบบอาคารมีน้อยลงองค์กรที่จะอยู่รอดได้ ต้องไม่ใช่องค์กรที่ “มีทีมใหญ่”แต่ต้องเป็นองค์กรที่ “คิดเร็ว ปรับได้ และสร้างคุณค่าในระยะยาว”


Chakrapan Pawangkarat

  • TikTok
  • Facebook
  • LinkedIn
  • Instagram
  • Youtube
bottom of page